Styx :: Paradise Theatre (1981)

วงดนตรีที่สร้างรูปแบบจากร็อคออกแนวเพลงเฮฟวี่ในอดีตแทบทุกวงจะมีส่วนที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ถ้าจะสร้างเพลงในแนวหวานๆ ท่วงทำนองเสนาะรื่นหูน่าฟัง จะทำได้ดีเป็นพิเศษ แตกต่างจากวงที่เล่นในแนวเพลงป๊อบง่ายๆหรือขวัญใจวัยรุ่นแต่ละยุคแต่ละสมัย เมื่อพยายามจะเล่นเพลงให้มันหนักหน่วงหรือยากขึ้น เปลี่ยนแนวการเล่นกันบ้าง จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ หรือมิฉะนั้นก็เข้าป่ากันไปเลย

วง Styx ก็เช่นเดียวกัน เริ่มต้นจากเพลงเฮฟวี่ Styx ค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นมาทีละน้อยๆ ไม่ใช่ดังพรวดพราดอย่างวงรุ่นน้องในปัจจุบัน ที่ส่วนมากจะทำได้ดีแค่แผ่นแรกๆ แต่พอออกแผ่นต่อมาแล้วจะยึดสูตรในแนวเดิมเอาไว้ จึงทำให้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว

แต่ Styx ค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นมาทีละน้อยๆ เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ไปเรื่อยๆว่าวงดนตรีจะเล่นในแนวดนตรีแบบเดียวกันเหมือนทุกๆแผ่นไม่ได้ ต้องค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปหาสิ่งใหม่ๆอย่างค่อยเป็นค่อยๆไป ไม่ใช่แผ่นหนึ่งเล่นในแนวนี้นะ แต่แผ่นต่อมาเล่นไปอีกแนวหนึ่งในทันทันใด เช่นนี้ Styx ไม่ทำ ถ้าท่านเคยฟังแผ่นของ Styx ตั้งแต่ยุคแรกๆจนถึงปัจจุบันจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเด่นชัดทีเดียว ไม่เหมือนแฟนรุ่นใหม่ของ Styx ที่นึกว่าเขาเล่นแต่เพลงหวานๆ อินโทรดนตรีช้าๆ บรรยากาศน่าสวยงาม ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกครับ ดนตรีในแบบของ Styx ในปัจจุบันกำลังมุ่งไปสู่แนวทางแบบ Progressive Rock แล้ว แต่ก็เป็นเพียง 30-40 % ต่อเพลงนะ

คือว่าดนตรีในแนวของ Styx ในปัจจุบัน ฟังเผินๆแล้วจะคล้ายเพลงร็อคพื้นๆ (แต่ดีนะครับ) แต่ในแนวดนตรีนั้น เขาแฝงดนตรีในแบบของ Progressive เอาไว้ทีละเล็กทีละน้อยจนเราไม่ทันสังเกตเห็นได้ชัด แล้วเราก็ค่อยๆซึมซาบแนวดนตรีแบบนี้เข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแนวดนตรีค่อยๆเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ

นับว่า Styx ฉลาดมากทีเดียว เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการง่ายที่จะเปลี่ยนแนวดนตรีชองเขา เขาอาจจะเล่นดนตรีในแบบอื่นโดยครองไว้ซึ่งในแบบเดิมได้สบาย นี่คือข้อได้เปรียบของแนวดนตรีร็อคโดยเฉพาะเพลงในแนวเฮฟวี่นะครับ

ดนตรีของ Styx ใน LP ชุดนี้ เปรียบเสมือนอุปรากรขนาดย่อมๆ เพลงแต่ละเพลงจะต่อเนื่องกัน เป็นเรื่องเป็นราว แต่บางเพลงลองแปลเนื้อดูแล้ว ก็ไม่เห็นจะต่อเนื่องกันเลย (แค่บางเพลงนะครับ) แต่อาจจะเป็นเพราะภาษาอังกฤษกับผม ไม่ค่อยจะถูกกันก็ไม่รู้ อาจจะเข้าใจเพลงแต่ละเพลงที่เนื้อร้องบ่งบอกไว้อย่างหนึ่ง แต่ไปแปลอีกอย่างก็ได้ เพราะศัพท์ไอ้กันมีคำแสลงเยอะมากเหลือเกิน แต่ส่วนมากจะต่อเนื่องกันนะครับ

ขอให้สังเกตจากปกแผ่นเสียงมาเลยก็ได้ เห็นไหมครับเป็นรูปโรงภาพยนตร์ Paradise โดยเปิดรอบ Gala Premiere รอบปฐมทัศน์นั่นล่ะครับ คนคึกคักมากมาย แต่หลังปกเป็นรูปโรงภาพยนตร์ Paradise แห่งเดียวกันล่ะครับ แต่ปิดเสียแล้ว เศษขยะเต็มไปหมด จะเห็นว่า Styx ต้องการจะสื่อความหมายออกมาตั้งแต่ปกแผ่นเสียงีเดยว ยกนิ้วโป้งให้เลยสำหรับไอเดียนี้ และในหลังปกนี้ Styx เอาภาพจากหัวภาพลงล่าง คือสลับข้างกันนั่นล่ะครับ พูดเช่นนี้ท่านคงไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่ถ้าท่านได้ฟังเพลงของ Styx ท่านคงจะเข้าใจได้ดีขึ้น เพราะเพลงเขาสื่อความหมายเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ

และในแผ่นเสียงทั่วไป หน้าแผ่นเสียงจะใช้คำว่า Side One, Side Two อะไรเช่นนี้ แต่แผ่นนี้ Styx ใช้คำว่า Act ซึ่งแปลว่า องก์ ที่ใช้กับละคร ท่านคงเข้าใจนะครับ หรืออาจจะแปลเป็นภาษาละครแบบชาวบ้านว่าฉากหนึ่ง, สอง ทำนองนี้ล่ะครับ ผมว่า Styx ไม่ใช่บังเอิญมาใช้คำว่า Act ใน LP ชุดนี้ เขาจงใจทีเดียวล่ะครับ เพราะต้องการให้ LP ชุดนี้สมบูรณ์ตั้งแต่หน้าปกจนถึงการใช้คำพูดทีเดียว ถ้าความคิดของผมถูก เห็นถึงความพิถีพิถันของ Styx ไหมครับ สิ่งเล็กๆน้อยๆเขาก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดรอดพ้นหูพ้นตาไปได้

มาพูดถึงเพลงของ Styx ใน LP ชุดนี้กันบ้าง

A.D. 1928, The Best of Times, A.D. 1958
เพลงทั้ง ๓ นี้ขึ้นต้นแนวดนตรีเหมือนกันเปี๊ยบเลย แต่การสื่อความหมายตรงเนื้อร้องต่างกันราวฟ้ากับดิน คือเรื่องนี้เริ่มจากปีค.ศ. 1928 จากความรุ่งเรืองสนุกสนาน จนมาถึงเวลาแห่งความรุ่งเรืองที่สุดในเพลง The Best Of Times เช่นประโยคที่เขาบอกว่า "ในคืนนี้เราจะสร้างให้เป็นคืนแห่งประวัติศาสตร์" ถ้าท่านมีเนื้อร้องลองดูก็ได้ครับ แต่ไม่ขอแปลทั้งเพลงนะครับ ไม่เช่นนั้นจะกินเนื้อที่มาก จนถึงเพลง A.D. 1958 ในปีค.ศ. 1958 จึงเป็นอวสานแห่งความรุ่งเรือง ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงไป จะเห็นได้ว่า เมื่อมีการกระทำอะไรลงไป มันจะมีช่วงเจริญถึงขีดสุด แต่มันจะค่อยๆเสื่อมและถดถอยลงไปเรื่อย จนกระทั่งถึงเวลาสิ้นสุดของตัวมันเอง ถึงแม้เพลงทั้ง ๓ จะมีเวลาในการเล่นสั้นยาวไม่เท่ากัน แต่ความดีเด่นนั้นทัดเทียมกันเลยทีเดียว ไม่ใช่เพราะท่วงทำนองดนตรีเหมือนกันหรอกครับ แต่เป็นเพราะความสมบูรณ์ของดนตรีนั้นสมบูรณ์มากอยู่แล้วในตัวของมันเอง

Rockin' The Paradise 
เป็นเพลงเมดเลย์กับเพลง A.D. 1928 เป็นการเมดเลย์ที่สมบูรณ์แบบมาก ช่วงในการต่อเพลงทำได้ดีมาก จนไม่นึกว่าจะทำได้ เพราะถ้าท่านเคยฟังเพลง The Best Of Times จะเห็นว่าแนวดนตรีขึ้นต้นแบบหวานๆ ช้าๆ จะต่อด้วยเพลงในแนวจังหวะร็อคแอนด์โรลได้ยาก แต่ความสามารถเช่นนี้ของ Styx ก็ควรค่าแห่งการภาคภูมิใจแล้ว

Too Much Time On My Hands
เป็นเพลงสนุกๆที่ทำได้ดีมาก เพลงนี้เหมาะสำหรับแสดงสด เพราะสามารถจะสนุกกับคนดูได้ง่าย ขึ้นต้นดนตรีเป็นแนวริธึ่มแอนด์บลูส์ แต่ดนตรีค่อยๆเปลี่ยนแนวเป็นจังหวะร็อคได้อย่างสวยงามมาก ชอบใจตอนจบ ลดระดับเสียงลงมาได้เฉียบขาดและแน่นอนมาก แต่เวลาแสดงสดคงทำไม่ได้หรอกครับ นี่ผมคิดเองนะครับ เพราะอันนี้เป็นเทคนิคพิเศษในห้องสตูดิโอ

Nothing Ever Goes As Planned Styx
ได้นำเครื่องเป่ามาใช้ในเพลงนี้ได้กลมกลืนมาก จึงทำให้เพลงนี้เด่นมาก คิดว่าถ้าเพลงนี้ไม่มีเครื่องเป่ามาผสม ก็จะเป็นแค่เพลงร็อคพื้นๆในทำนองริธึ่มแอนด์บลูส์ธรรมดาๆไปเท่านั้น ทำให้เห็นว่าการสอดแทรกท่วงทำนองหรือเสียงดนตรีลงไปในช่วงที่พอเหมาะพอควรจะทำให้ได้ซึ่งความสำเร็จและน่าชื่นชมได้มากจริงๆ

She Cares
เพลงง่ายๆพื้นๆที่ทำดูเป็นกันเองกับคนฟังมากที่สุด มีการใช้เสียงแซ็กโซโฟนลงไปด้วย ดนตรีดูเรียบสงบ แต่น่าฟังไม่ใช่ย่อยทีเดียว ถ้าสังเกตให้ดี Styx พิถีพิถันแม้แต่การเล่น percussion (เครื่องเคาะจังหวะ) ที่มีออกมาไม่มากนัก แต่เพิ่มรสชาติและสีสันของเพลงขึ้นไปอีกมาก

เพลงแต่ละเพลงใน LPชุดนี้ Styx ยังคงเล่นในแบบที่ไม่ยากเกินไป ความเปลี่ยนแปลงของ Styx มีมากขึ้นกว่าเดิม เช่น การเพิ่มเครื่องเป่าขึ้นมาเป็นต้น แต่ที่ไม่เข้าใจเอาเลยคือการเล่นเพลง State Street Sadue ที่มีความยาวไม่กี่วินาที ซึ่งเป็นเพลงปิดรายการของ LP ชุดนี้ เนื่องจากเป็นเพลงที่สั้นเอามากๆ จนไม่เข้าใจเลย ใช้เสียงซินเธอร์ไซน์นะครับ จะเรียกว่าเพลงแถมก็ได้ แต่มีเอาไว้ทำไม นี่คือข้อที่ควรสงสัย ไม่ใช่มี Styx วงเดียวเท่านั้นที่เล่นเพลงสั้นๆในแบบนี้ ถ้าเป็นการเล่นเพื่อโชว์เสียงกีต้าร์แบบ Van Halen ก็ว่าไปอย่าง แต่ Styx ต้องมีความหมายมากกว่านั้นแน่ๆ แต่ผมไม่เข้าใจหรอกครับ และอีกข้อหนึ่งก็คือเพลงสั้นๆเช่นนี้ โดยไม่ใช่เพลงต่อเนื่องกับเพลงอื่น ไม่สามารถนำไปแสดงสดได้หรอกครับ

ผมคิดว่าสาเหตุที่เพลงในบางเพลงของ LP ชุดนี้ไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเพราะ Styx มีคนแต่งเพลงได้หลายคน จากจุดเด่นในข้อนี้จึงทำให้เป็นจุดอ่อนของ LP ชุดนี้ไปโดยปริยาย อย่างที่มีสุภาษิตบอกว่า "มากคนก็มากความ" ถ้าเราจะคิดกันเป็นในแบบ LP แล้ว รู้สึกว่า Styx คิดจะจับงานใหญ่เกินตัวไปหน่อย แต่ถ้าคิดถึงเพลงแต่ละเพลงก็เห็นจะต้องบอกว่า Styx พัฒนาฝีมือของตนเองไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

LP ชุดนี้ รู้สึกจะเป็นชุดแรกของ Styx ที่เคยขึ้นอันดับ ๑ ในอเมริกา ก็สมแล้วล่ะครับ ที่ควรจะขึ้นถึงอันดับ ๑ ฝีมือเช่นนี้แล้ว อ้อ...แผ่นเสียงของ Styx ใน Act 2 นั้น มีการพิมพ์ลายลงเนื้อแผ่นด้วย เวลาสะท้อนกับแสงแล้วสวยงามมาก และไม่ทำให้ระบบเสียงเสียไปเลย

LP ชุดนี้มีเนื้อร้องแถมมาให้ด้วย เป็นอีก LP หนึ่งที่อยากให้ท่านมีกัน ยอดเยี่ยมมากครับ

SP 156

No comments:

Post a Comment