Robert Plant :: The Principle Of Moments (1983)


หมายเลขแผ่น - 7 90101-1
แนวดนตรี - ร็อค
สังกัด - Atlantic
ออกปี - 1983
Producer - Robert Plant

เป็นแฟนวงเลด เซ็พพลินมานานนมเต็มทีแล้ว คิดดูแล้วก็ร่วมสิบกว่าปีมาแล้ว พอได้ข่าวว่า จอห์น "บอนโซ" บอนแฮม เสีย ก็มีความรู้สึกเสียดายในฝีมือจริงๆ และแล้ว เลดเซ็พ ก็ได้ทำในแบบที่ผู้เขียนอยากให้ทำ นั่นก็คือประกาศแตกวง ไม่ใช่ผู้เขียนรังเกียจจงชังวงนี้หรอกนะครับ แต่ผู้เขียนคิดว่าเลดเซ็พก็คือ แพลนท์, เพ็จ, บอนแฮม และ โจนส์ ขาดคนใดคนนึงไปก็ไม่น่าจะเป็นเลดเซ็พได้ เหมือนกับวันที่เดอะ ฮู เสีย คีธ มูน ไป นับตั้งแต่ในวันนั้น วง เดอะ ฮู ก็ไม่เคยมีอยู่ในโลกแล้วในความคิดของผู้เขียน ต่อให้ได้มือกลองระดับยิ่งใหญ่ขนาดไหนมาแทนก็ตาม แล้วคนที่มาแทนมูนถึงจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ยังห่างไกลกับคีธ มูนมาก (แต่แผ่นเดี่ยวของมูนนั้นกระจอกมาก) ต่อมาก็มีข่าวว่า เลดเซ็พอาจจะกลับมา โดยคนที่จะมาเป็นมือกลองคือลูกชายของบอนแฮมเอง ในใจก็ได้แต่เพียงคิดว่า สมาชิกยิ่งใหญ่ทั้งสามจะประคับประคองไปได้ไกลกันขนาดไหน ไม่ได้ติเรือทั้งโกลน โดยที่ยังไม่เห็นเรือนะครับ เป็นแต่เรื่องคิดในใจเท่านั้น เราจะข้ามการพูดถึงผลงานของสมาชิกคนอื่นไป จะมาพูดถึงผลงานของแพลนท์เท่านั้น

ตอนแรกที่ได้ข่าวว่าแพลนท์ออกแผ่นรูปภาพช่วง 11 โมงมา ก็ดีใจมาก รีบหามาฟัง พอฟังจบแล้วบอกตามจริงว่าไม่ผิดหวัง แต่ถ้าจะเอามานั่งเขียนเห็นจะต้องปฏิเสธ เพราะในฐานะนักฟังไม่ปฏิเสธว่าเป็นผลงานชั้นดี แต่ถ้าในฐานะคนเขียน จุดที่จะต้องมองนั้นจะต้องมีมากขึ้นไปกว่าเดิม เหตุผลก็คือ ความเป็นแพลนท์ก็คือความเป็นเลดเซ็พ (แล้วเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง) นั่นคือข้อหนึ่ง ข้อต่อไปคือแพลนท์ยังคุมเกมสมาชิกบางคนที่แพลนท์ดึงมาร่วมงานยังไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมือกีต้าร์ ร็อบบี้ บลันท์ มือกลอง (ฟิล คอลลินส์ และ โคซี่ โพเวลล์) ข้อสามคือการเพิ่มเสียงคีย์บอร์ดเข้ามา แพลนท์ไม่ได้ส่งประกายออกมา ทั้งๆที่เสียงคีย์บอร์ดนั้น สามารถสร้างฐานดนตรีรูปแบบที่แหวกแนว นอกจากจะเอามาเป็นพื้นส่งเสริมเสียงกีต้าร์ เพื่อส่งความเป็นประกายดนตรีในการเล่นแบบเพ็จนั่นเอง สรุปออกมาก็จะได้คำพูดแบบที่ เอียน กิลแลน พูดว่า (อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ผู้เขียนพูดก่อนอีกครับ แต่คำพูดของกิลแลนเขาพูดได้ยินไปทั้งโลกในหมู่คนฟังดนตรี) "ดนตรีของแพลนท์นั้นก็ดี แต่มันก็ไอ้แค่เพลงแบบเลดเซ็พที่เป็นป๊อบ" ที่จริงยังมีอีกหลายจุดที่น่าจะพูดถึงชุดแรก แต่คราวนี้เราจะเขียนถึงชุดที่สองก็เลยอยากจะเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆปูพื้นเสียก่อน

ก่อนที่จะข้ามไปพูดถึงชุดสองกันแท้ๆ สงสัยมีหลายคนเข้าใจผิดอย่างที่ว่า เรื่องความชอบและไม่ชอบในการตัดสินผลงาน ผู้เขียนไม่เคยเอาความชอบและไม่ชอบตัดสินผลงาน ถ้าใครอ่านและออกมาเช่นนั้นไม่อยากจะพูดว่าผู้เขียนๆไม่เคลียร์ แต่การอ่านล่ะ เคลียร์ไหมครับ ผู้เขียนมีนิสัยแปลกอย่างเวลาที่เขียนจะพูดเสมอว่าชอบหรือไม่ แต่ไม่เคยเอาคำพูดทั้งสองมาตัดสินผลงานเลย รับรองได้ว่าถ้าผู้เขียนทำเช่นนั้นจะมีอีกหลายชุดที่ผู้เขียนจะไม่ยอมเขียนถึง แต่ความชอบและไม่ชอบนั้นย่อมมีเสมอ เพราะไม่ใช่ผู้สำเร็จอรหันต์นี่ครับ

กลับมาพูดกันถึงผลงานชุดที่สองของแพลนท์กันได้แล้ว ชุดนี้เห็นได้ชัดเลยว่า แพลนท์เริ่มคุมเกมอยู่ แม้ว่าดนตรีจะมีส่วนเป็นเลดเซ็พอยู่บ้างก็ตาม นั่นก็เพราะว่าการทำงานเป็นวงคือการทำเป็นทีมเวิร์ค สร้างจุดเด่นของแนวดนตรีขึ้นมา คิดว่าสมัยช่วงที่ยังอยู่กับเลดเซ็พนั้น แพลนท์หรือสมาชิกแต่ละคนในวงคงไม่เคยมีความคิดที่จะแยกตนออกมาสร้างผลงานเดี่ยว ถึงมีก็คงเป็นช่วงหลังที่เลดเซ็พเป็นตำนานที่ยังอยู่ ดังนั้นใครมีจุดเด่นอย่างไรก็ต้องแสดงออกมาเต็มที่ เหมือนอย่างที่ไมเคิล เช็งเกอร์ สร้างจุดเด่นของตนมากสมัยที่อยู่กับวงยูเอฟโอ จุดเด่นของแพลนท์ก็คือ เขามีลักษณะการร้องได้สองโทนเสียงในเพลงเดียวกันได้ โทนเสียงธรรมดาแบบมีเอกลักษณ์ของตนโทนนึง (ถ้าสังเกตให้ดี นักร้องในยุค 60 แต่ละคนต่างก็มีเสียงที่พอฟังปั๊บก็ทราบว่าใครร้อง เช่น ออสซี่ หมูน้อยที่น่ารัก, กิลแลน ว่องไวและรุนแรง, พอล รอดเจอร์ส คนนี้เสียงดีมากเป็นพิเศษ เห็นได้ข่าวว่ากำลังร่วมงานกับเพ็จอยู่ คิดแล้วอยากฟัง, เดวิด ไบรอน นักร้องเสียงป๊อบ แต่ร้องเพลงเฮฟวี่เฉียบขาดมาก ฯลฯ ) และอีกเสียงนึงก็คือโทนเสียงสูง (วงที่มีลักษณะใกล้เคียงการร้องแบบนี้ที่สุด คือวง ซีบร้า แนวดนตรีก็ใกล้เคียง แต่ไม่เหมือนทีเดียว สงสัยต้องได้รับอิทธิพลมามากเอาการทีเดียว) ถ้านักร้องเสียงไม่แน่จริงทำเช่นนี้ไม่ได้หรอกครับ แพลนท์ใส่จุดเด่นนี้เข้าไปเต็มที่กับวงเลดเซ็พ เมื่อเลดเซ็พแตก ผลงานเดี่ยวของแพลนท์จึงต้องแพ้ภัยตนเองโดยปริยาย แต่ชุดที่สองนี้แพลนท์ได้พยายามหลีกเลี่ยงจุดเด่นของตนเองนี้ให้น้อยลง โดยเพิ่มโทนเสียงของคีย์บอร์ด ให้มีลักษณะสื่อสารออกมา ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเสริมเสียงกีต้าร์อย่างในชุดแรก สังเกตได้จากทุกเพลง แต่ถ้าจะให้คุ้นหู ลองฟังเพลง Big Log ดูสิครับ

จุดต่อมาที่แพลนท์คุมเกมอยู่คือเสียงกลอง ในชุดแรกแพลนท์ให้สัมภาษณ์ว่า "มือกลองแต่ละคน ล้วนแต่มีจุดเด่นของตนเอง คอลลินส์ สามารถตีกลองตามสไตล์ของตนได้ยอดมาก แต่ถ้าจะมาให้ตีกลองในแบบของโพเวลล์ ถึงทำได้แต่ก็ไม่ดีเท่า กลับกันฉันใดก็ฉันนั้น" ในชุดแรกนั้นรู้สึกว่าแพลนท์จะให้อิสระต่อมือกลองมากไป โดยเฉพาะมือกลองที่มาร่วมงานด้วยนั้นเป็นระดับเซียนเหยียบเมฆกันทุกคน หรือคุณว่าไม่ใช่ ดังนั้นดนตรีที่ออกมา โดยเฉพาะเสียงกลองก็กลายเป็นการตีกลองในรูปแบบของบอนแฮม แต่เล่นในสไตล์ของอีกคนเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่นเพลง Moonlight In Samosa ในชุดแรก เพลงนี้เราเรียกว่า Stairway To Heaven Part II กันได้ไหมครับ ส่วนการตีกลองของโพเวลล์ อยากให้ท่านลองฟังผลงานของเลดเซ็พชุดที่สองหรือชุดที่สามดูให้ดี ไม่อยากจะแยกกันออกมาเป็นเพลงๆเลย พับผ่าสิ เห็นง่ายๆว่าไม่แตกต่างกันเท่าไหร่เลย อันที่จริงเมื่อดูสไตล์การตีกลอง คนที่น่าจะเข้ามาแทนบอนแฮมได้ในรูปแบบมากที่สุดก็คือโพเวลล์ อย่างอื่นไม่นับนะครับ

พอมาถึงชุดที่สองเห็นชัดเลยว่าแพลนท์ไม่ปล่อยให้เสียงกลองเป็นสิ่งอยู่เหนืออิริยาบทอันเกินควบคุม ดูได้จากทุกเพลงเลย ไม่ว่าจะเป็นการตีกลองของฟิล (ช่วงโซโลเพลง In The Mood ยังมีลักษณะของบอนแฮมไม่น้อย) หรือของแบรี่มอร์ บาร์โรย์ ตกอยู่ในการคอนโทรลของแพลนท์ได้สวยมาก

จุดที่สามคือเสียงคึย์บอร์ด เห็นได้ชัดในยุคหลังๆ วงเลดเซ็พเองก็ยอมรับถึงความสามารถในการทำเสียงของเครื่องมือนี้ แม้ว่าจะให้เสียงที่ด้อยกว่าซินฯมากทีเดียว แต่ความมีหัวใจของคีย์บอร์ดนั้นเหนือกว่าเยอะ นี่ไม่นับผู้เล่นซินเธอร์ไซเซอร์ระดับ โฮเวิร์ด โจนส์, โธมัส ดอลบี้ นะครับ อย่างที่บอกในตอนแรกก็คือการคุมเกม ถ้าใครคุมเกมอยู่ เครื่องมือพวกนี้เป็นเครื่องมือรับใช้ให้เสียงต่อดนตรีที่ดีมาก แต่ถ้าใช้ผิด เครื่องดนตรีนี้ล่ะครับ ที่จะคุมนักดนตรีคนนั้น แพลนท์ใช้มันเป็นประโยชน์ต่อดนตรีที่เขาคิดจะพุ่งเป้าพุ่งประเด็นไปในด้านการเสนอเสียงดนตรีที่พยายามหลีกเลี่ยงความเป็นเลดเซ็พที่ติดตัวเขากันอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างที่บอก เสียงคีย์บอร์ดในชุดนี้เป็นเพียงองค์ประกอบเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้ดนตรีของแพลนท์ก้าวขึนไปขางหน้าตลอดเวลา

อันที่จริงยังมีอีกหลายจุดที่แสดงถึงความเจริญเติบโตในความเป็นโรเบิร์ต แพลนท์ แต่อยากให้ท่านผู้อ่านหากันเอาเองในแง่ที่นอกเหนือจากงานที่ได้เขียนบอกไปแล้ว เมื่อเทียบผลงานเดี่ยวสองชุดกันอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว ผู้เขียนมองออกมาได้เป็นเช่นนี้ อัลบั้มชุด Pictures At Eleven ถ้าจะพูดกันถึงความเป็นดนตรีแล้วก็สมบูรณ์แบบกันในตัวอยู่แล้ว ใครก็ตามที่เป็นแฟนเลดเซ็พ คงจะไม่มีใครเอ่ยปากว่าผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราจะนับกันถึงความเป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว แพลนท์หาได้แสดงจุดใดออกมาให้คนฟัง แฟนเพลง เห็นเลยว่าเขามีอะไรที่แตกต่างไปจากสิ่งเขาเคยเป็นได้ เขาสอบไม่ผ่านในจุดนี้ ส่วนอัลบั้มชุด Principle Of Moments แพลนท์ได้แสดงออกมาว่าเขามีพลังที่จะสร้างสรรค์ดนตรีในแนวอื่นแต่คงความเป็นโรเบิร์ต แพลนท์อยู่ อัตตาของเขามีครบ และนี่คือศิลปินที่เด็กรุ่นน้องทำอะไรไม่ได้จริงๆ เขาไม่ใช่เกิดมาเพียงเพื่อความเป็นศิลปินเท่านั้น แต่เขารู้ว่าเขาจะควบคุมพลังงานที่เขามีอยู่ให้ออกไปทางไหน ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ที่พุ่งขึ้นมาแรงเหลือเกิน ส่วนมากจะควบคุมพลังเช่นนี้กันเอาไว้ไม่อยู่ ดังนั้นผลงานของวงเหล่านั้นจึงอยู่ในระบบการค้าและผีเข้าผีออกกันอย่างเห็นได้ชัด อย่าให้ต้องเอ่ยชื่อวงกันเลยนะครับ

อัลบั้มชุดนี้ ทำไมถึงเอามาเขียนช้า อ่านรายละเอียดกันในช่วง Addition อยากบอกว่า ไม่ควรพลาดสำหรับคอเพลงที่ชอบร็อค จนไปถึงเฮฟวี่ (ทั้งที่ชุดนี้ไม่ใข่เฮฟวี่) แล้วเวลาที่คุณฟังแล้วคุณจะทราบว่าทำไม

ในตอนนี้แพลนท์มีผลงานในนามคณะ "ฮันนี่ดริพเพอร์ส" (Honeydrippers) ออกมากันแล้ว บอกตามตรงว่าเคยฟังแค่เพลงเดียว คือเพลง Sea Of Love แต่ก็ชอบมาก ยังไม่แน่ใจว่าตัวผมจะสั่งชุดนี้เข้ามาฟังกันหรือไม่ เพราะตอนนี้มีอัลบั้มที่แช่กันเอาไว้แล้วไม่ได้ฟังมากเกินไปเสียแล้ว แต่ที่อ่านรายชื่อสมาชิกคิดว่าไม่ผิดหวัง นี่ทำตัวเป็นหมอเดาอีกแล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังเลย เห็นถึงความใช้ไม่ได้ไหมครับ ชมออกมาได้ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟัง

SP 196

No comments:

Post a Comment