Michael Franks :: The Art of Tea (1975)

หมายเลขแผ่น - MS 2230
แนวดนตรี - ป๊อบ - แจ๊ส
โปรดิวเซอร์ - Tommy Lipuma
สังกัด - Reprise Records
ออกปี - 1975

งานชิ้นเดียวกันของศิลปินคนเดียวกัน แค่คนฟังต่างคนกัน ย่อมที่จะมีความรู้สึกในการฟังแตกต่างกันออกไป เอาแต่ความรู้สึกว่าผลงานชิ้นนั้นตนเองมีความรู้สึกอย่างไร บางครั้งคนร้อยคนก็อาจที่จะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปได้ถึง 100 อย่าง แต่ถ้าไม่ถึงเท่านั้น ก็คงจะมีที่แตกต่างกันไม่มากก็น้อยล่ะน่า ถ้าเราจะเอาเข้ามาแคบกันอีกนิดว่า ถ้าคนที่ฟังมีความรู้สึกว่าชอบ ความชอบนั้นก็อาจที่จะไม่เหมือนกันเลยก็ได้ ในทางตรงกันข้าม ความรู้สึกที่ว่าผลงานชิ้นนั้นตนเองว่ามีจุดบอกพร่องกันตรงไหน ก็มีไม่เหมือนกันอีกเช่นกัน นั่นเป็นความรู้สึกในการรับฟัง แต่ถ้าเราจะเอาแคบเข้ามา ในด้านการฟังดนตรีแล้วแยกแนวดนตรีชิ้นเดียวกันนี่ล่ะครับ บางครั้งคนที่ฟังก็มีความรู้สึกถึงแนวดนตรีที่แตกต่างกันได้

ผลงานของ Michael Franks นี้เป็นตัวอย่างที่ดี แนวดนตรีที่เขาเล่นที่เขาทำกันออกมาให้เราได้รับฟังนั้น เป็นที่แน่นอนครับว่านี่คือดนตรีแจ๊ส แต่สำหรับคอดนตรีแจ๊สระดับอนุรักษ์นิยมกันสักหน่อย คงจะต้องมีการปฏิเสธกันบ้างไม่มากก็น้อยว่าดนตรีของคนที่ชื่อว่า Michael Franks กำลังที่จะทำลายแบบฉบับที่ดีที่ดนตรีแจ๊สได้สร้างสรรค์กันขึ้นมา เพราะว่านี่เป็นดนตรีป๊อบธรรมดานี่หว่า มีคุณค่าอย่างไรพอที่จะมาเรียกกันว่าดนตรีแจ๊ส ใครจะว่าคนที่มีความคิดเช่นนี้เป็นเต่าล้านปีกินผักบุ้งกันล่ะก็ คงจะว่าเขาได้ เพราะว่าผมก็คงจะถูกจัดอยู่ในจำพวกเต่าล้านปีกินผักบุ้งเช่นกัน แต่ผมก็คงจะไม่มีความคิดรุนแรงจนกระทั่งมองรูปแบบของดนตรีเช่นนี้แล้วยอมรับกันไม่ได้ว่าดนตรีของ Michael Franks นี้ไม่ใช่แจ๊ส เพียงแต่ว่าดนตรีแจ๊สที่เล่นออกมานั้นเป็นแนวทางของดนตรีป๊อบที่ทำกันออกมาในรูปแบบที่มีคลาสของการฟัง ให้สูงขึ้นกว่าธรรมดาเท่านั้นเอง คำว่าแค่นั้นเองนี่เวลาฟังและเขียนนี่มีความรู้สึกว่าธรรมดาสามัญนะครับ แต่ในที่นี้ไม่ธรรมดาสามัญหรอก

คนที่สามารถที่จะทำดนตรีที่คนฟังกันออกมาแล้ว มีความรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่าความธรรมดาสามัญนั่นล่ะครับยอด ไม่ได้มีความหมายอย่างเดียวกับที่ในหนังสือจีนเขียนว่า จากจุดสุดยอดคืนสู่สามัญนะครับ แต่มีความหมายโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ Michael Franks ว่าแนวดนตรีของเขานั้น ถ้าเราจะพยายามที่จะลืมเสียงร้องกันไปก่อน เอากันโดยเฉพาะแค่ดนตรีที่บรรเลงนั้น นั่นล่ะครับคือดนตรีแจ๊ส 100% เลยครับ พอพูดกันมาถึงตอนนี้ คุณก็คงจะมองเห็นกันว่า ถ้าเช่นนั้นก็เสียงร้องของ Michael Franks กันล่ะสิ ที่ทำให้ดนตรีที่ออกมาไม่ใช่ดนตรีแจ๊ส ก็เห็นจะตอบว่า เกือบจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะเสียงร้องของคนๆนี้ ไม่มีใครเหมือนในวงการแจ๊ส (ที่จริงในวงการไหนก็ไม่เห็นจะมี) อันความจริง ถ้าเขาสามารถร้องเพลงลักษณะเช่นนี้ได้ ผมว่าเขาสามารถที่จะร้องเพลงบลูส์กันได้สบายเลยนะผมว่า คือว่าเสียงของเขานั้นฟังเรียบกันเลยเกินเหมือนกับคนไม่มีความรู้สึกในทางโลกเช่นนั้นล่ะครับ อันที่จริงเรื่องนี้แฟนเพลงของเขาก็คงที่จะทราบกันดีใช่ไหมครับ (แต่ที่ต้องกล่าวถึงก็เพราะเวลาที่เขียนถึงศิลปินที่ยังไม่เคยเขีบนถึง ผมจะพยายามที่จะบรรยายรายละเอียดของตัวบุคคลที่เขียนถึงเอาไว้ เพราะว่าถ้ามีโอกาสที่จะเขียนถึงผลงานชิ้นอื่นจะได้ไม่ต้องเกริ่นกันมากมายนัก คือสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านตอนที่ผมเขียนถึงศิลปินคนใด และผมเอาผลงานชิ้นอื่นมาพูด ก็อยากที่จะขอว่า ช่วยค้นคว้าประกอบด้วยตนเองนะครับ ) แต่ในความไร้อารมณ์นั่นล่ะครับ เป็นความสวยงามของดนตรีที่เขาได้สื่อสารกันออกมาให้คนฟังได้รับ

เพราะในลีลาที่ไร้อารมณ์แห่งน้ำเสียงนั้น มันเป็นตัวแปรแห่งเอกภาพของดนตรีที่ผลงานชุดนี้ได้พยายามที่จะสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้เต็มเปี่ยม ศิลปินจะเป็นผู้ที่สร้างความรู้สึกของภาพพจน์แห่งดนตรีออกมา แล้วให้คนฟังคอยจับความรู้สึกเช่นนั้นกันเอาเอง แต่สำหรับผลงานชุดนี้ กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะว่าอารมณ์และความรู้สึกนั้นได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดกันอยู่แล้ว แต่ก็มีตัวแปรในน้ำเสียงที่คนฟังจะต้องพยายามที่จะก้าวเข้าไปแทนที่ตัวของ Michael Franks เอง เขียนแบบนี้ไม่ทราบว่าจะงงกันไหมครับ

คือดนตรีของเขานั้นไม่เหมือนกับดนตรีแจ๊สในยุคเก่าๆที่ดนตรีนั้นมีความเด่นในน้ำเสียงของคนร้องที่สื่อสารความรู้สึก อย่างนักร้องเพลงแจ๊สรุ่นเก่าๆ เช่น บิลลี่ ฮอลิเดย์ (1915-1959) , เอ๊ดดี้ เจฟเฟอร์สัน (1918-1979) ฯลฯ หรือเราจะก้าวมาสู่ดนตรีแจ๊สในแบบ Fusion Jazz ที่เป็นดนตรีบรรเลงอย่างเช่น John McLaughlin, Keith Jarrett ที่ดนตรีที่บรรเลงออกมานั้น ช่างเต็มไปด้วยเทคนิคลีลาอันแพรวพราว และในความรู้สึกของการเล่นนั้นก็มีอารมณ์ร่วมกันอยู่ด้วย ก็พอที่จะสรุปกันได้ง่ายๆว่า คนที่พอจะแบ่งแยกดนตรีออกมาในแบบที่สามัญไม่ต้องไปแยกแนวกันออกไปให้สลับซับซ้อนแล้ว ฟังดนตรีของนักดนตรีแจ๊สพวกนี้ก็คงจะพยายามที่จะจับจุดในความไพเราะในอารมณ์ของเพลงกันได้เอง ในที่นี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่า บุคคลนั้นยืนกันอยู่ระดับไหนในการฟังเพลง

แต่สำหรับ Michael Franks จะเอาอะไรมาเป็นตัวสื่อสารกันล่ะครับ ถ้าเสียงร้องของเขาช่างไร้ความมีสีสัน เรียบง่าย ถ้าเป็นไม้กระดานก็จะเป็นไม้ที่ใช้มือลูบแล้วช่างหาเสี้ยนที่จะคอยตำมือกันไม่ได้เลย ดังนั้นดนตรีของเขา เราจะรับการสื่อสารหรือไม่ก็ได้ ในแง่ที่ว่าจะฟังเป็นดนตรีป๊อบ ที่มีความประณีตในผลงาน รับรองได้ว่าถ้าใครชอบผลงานในแบบที่เด่นในความสมบูรณ์ของดนตรีแล้ว ผลงานชุดนี้เป็นผลงานที่นักฟังเพลงป๊อบที่ชอบฟังเพลงในแบบที่ผ่อนอารมณ์ในการทำงานที่เคร่งเครียดน่าจะชอบกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าใครชอบจิบเบียร์เย็นๆขึ้นเกล็ดแล้วนอนฟังเพลงล่ะก็ ชุดนี้ผมว่ามีครบครับ แล้วใครอย่ามาพูดว่า ดนตรีของศิลปินคนนี้มีคุณค่าเพียงแค่นี้หรือ เพราะผมถือว่าถ้าดนตรีสามารถสร้างอารมณ์และความรู้สึกในการฟังให้แก่คนฟังได้เพื่อการพักผ่อนกันแล้ว ดนตรีชิ้นนั้นสมบูรณ์แล้วในแง่ที่เป็นดนตรี การสร้างสรรค์อยู่กันคนละเรื่องนะครับ และในที่นี้ไม่นับดนตรีไลท์มิวสิคด้วยนะครับ แต่ถ้าคนฟังที่ต้องการอะไรที่มีคุณค่ามากกว่านั้น ก็ต้องศึกษาให้ลึกลงไป การเจาะลึกกว่านี้ต้องอยู่ที่ความสนใจในแต่ละคน ผมทำได้เพียงช่วยคุณขุดในตอนแรกเท่านั้น เพราะว่าผมไม่สามารถ คือไม่ทราบว่าผู้อ่านแต่ละท่านนั้นยืนกันอยู่ในระดับไหน สำหรับคนที่เคยฟังอาจจะเห็นภาพพจน์ในสิ่งที่ผมเขียน และบางคนอาจจะเข้าใจลึกซึ้งกว่าที่ผมเขียน แต่บางคนก็อาจจะไม่เคยฟัง ดังนั้นการเขียนถึงจะพยายามที่จะทำกันในแบบพอประมาณโดยที่ได้มองทุกแง่มุมกันแล้วนะครับ

และสำหรับคอเพลงแจ๊สที่ยังไม่เคยฟังชุดนี้ ผมว่าน่าเสียดายนะครับ เพราะดนตรีแจ๊สที่ทำกันออกมาในรูปแบบนี้ มีความสมบูรณ์ทุกอย่างในตัวเอง มีความรู้สึกในดนตรีที่ไม่ใช้เสียงร้องเป็นตัวสื่อนั้นทำได้ยากมาก ที่เขียนมาทั้งหมด คงไม่เป็นการสอนหนังสือให้สังฆราช โดยเฉพาะสำหรับเซียนเพลงแจ๊สนะครับ

แล้วถ้าคุณจะถามว่าทำไมถึงไม่กล่าวกันถึงเพลงในชุดนี้แล้วสำหรับผมอยากจะตอบว่าศิลปะของการชงชา (ที่เป็นชื่อผลงานชุดนี้) นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากสำหรับคนญี่ปุ่นที่ต้องการเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ผลงานในชุดนี้ก็เช่นกัน มีความละเอียดอ่อนมากกว่าที่จะบอกกันออกมาเป็นคำพูด เพราะว่าความรู้สึกของอารมณ์นั้น บางครั้งก็มีคุณค่ามากกว่าที่จะบรรยายออกมากันอย่างตรงตามอารมณ์ที่เรารู้สึกได้ ดังนั้นการที่คุณฟังชุดนี้และดูดซึมความรู้สึกเช่นนั้นได้ นั่นล่ะครับคือความสวยงามของผลงานชุดนี้ ผมสามารถที่จะนั่งฟังผลงานชุดนี้กันได้เป็นหลายๆรอบโดยที่ไม่มีความรู้สึกว่าน่าเบื่อเลย นั่นล่ะครับ คือดนตรีที่มีอารมณ์ของเพลงแจ๊ส

คือว่าเราไม่สามารถที่จะแยกออกมาได้ว่า ชุดนี้นั้นสวยงามที่จุดไหนเป็นจุดหลัก อย่างเช่นการชงชาของชาวญี่ปุ่นเท่าที่ทราบมา เขาศึกษาแม้กระทั่งการใช้ถ้วยชา น้ำร้อนที่เขาจะใช้ต้องร้อนขนาดไหน ต้องใส่ชามากขนาดไหนต่อน้ำร้อนขนาดไหน ไม่สามารถที่จะบอกกันว่า เป้าและประเด็นที่ทำให้น้ำชานั้นน่าทานมาจากจุดไหนเป็นจุดสำคัญที่สุด ผลงานชุดนี้ก็เช่นเดียวกัน

แต่ถ้าพูดจุดด้อยแล้วหาใช่จะไม่มี การที่ผลงานตั้งชื่อกันได้ตรงเป้าตรงประเด็น แต่หน้าปกผลงานชุดนี้อย่างกับว่ารีบๆทำกันออกมาอะไรก็ได้ แค่เป็นเครื่องห่อหุ้มตัวแผ่นเสียง บอกกันตามตรงว่า คนที่ทำกันออกมาอย่างนี้ เหมือนกับคนที่ไม่มีความเคารพในความสามารถของตนเองเช่นนั้นล่ะ หรือว่าคนทำมีความสามารถเช่นนี้ก็ไม่ทราบ

ก่อนจะจบชุดนี้ อยากจะบอกว่าผลงานชุดใหม่ของเขา จากชุด Passion Fruit เป็นผลงานที่ชวนผิดหวังในความรู้สึกมากชุดหนึ่งทีเดียว จึงไม่ได้นำมาเขียน แต่เมื่อมีคนขอชุดนี้ผมก็คิดว่าน่าจะนำความผิดหวังมาให้นะครับ

SP 188

No comments:

Post a Comment