Lionel Richie :: Can't Slow Down (1984)

โปรดิวเซอร์ - Lionel Richie and James Anthony Carmichael
นอกจากเพลง The Only One ที่ Lionel ร่วมโปรดิวซ์กับ David Foster
หมายเลขแผ่น - 6059 ML
แนวดนตรี - Soul & Funk (Ballad)
ออกปี - 1984
สังกัด - Motown

ดนตรีที่นายทุนนั้นมีความหวังกันเอาไว้ว่า ผลงานชุดนั้นชุดนี้จะต้องทำเงินให้กับทางบริษัทนั้น จะต้องเป็นผลดีที่เกิดขึ้นกับศิลปินที่ทำผลงานนั้นขึ้นมา เพราะว่าศิลปินผู้นั้นย่อมสามารถมีข้อต่อรองกับทางบริษัทได้หลายๆอย่าง เช่นจองห้องสตูดิโอชั้นดี พักในโรงแรมดีๆ พักผ่อนในสถานที่ดีๆ มีโอกาสที่จะเลือกนักดนตรีที่ตนเองต้องการได้ มีโอกาสจะเลือกโปรดิวเซอร์ที่ตนเองต้องการได้ หรืออยากจะเป็นโปรดิวเซอร์เองก็ยังได้ มีงานเลี้ยงเพื่อแนะนำผลงาน ฯลฯ และเมื่อหมดสัญญากับบริษัทแล้ว ก็ยังสามารถจะตั้งข้อเรียกร้องในการเรียกร้องสิ่งอะไรที่ตนเองต้องการในสัญญาได้อีก ฟังๆดูแล้วชีวิตศิลปินดังๆนั้นเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาใช่ไหมครับ (ผู้เขียนก็อิจฉา) แต่คุณอาจจะไม่เคยมองกันในมุมกลับกันบ้างว่า ถ้าเกิดความมีชื่อเสียงนั้นหมดกันไป อะไรจะเกิดขึ้นกับคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีทุกสิ่งทุกอย่าง เคยต้องการอะไรก็ได้ คุณจะไม่มีวันที่จะรู้ถึงความรู้สึกปวดร้าว ขมขื่นเจ็บช้ำ ความมีชื่อเสียงก็เปรียบเสมือนกับอำนาจ ที่ถ้าใครไม่เคยมีจะไม่รู้ถึงความสุขที่มีมัน จะไม่รู้ถึงความรวดร้าวที่สูญเสียมันไป ในขฯะที่ทุกคนยังไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้ คนภายนอกสามารถที่จะว่าบุคคลเหล่านี้กันได้ แต่สักวันที่เคยว่าพอมีในสิ่งเหล่านี้กันบ้าง ก็อาจจะลืมคำที่เคยว่ากันก็ได้ เพราะอำนาจนั้น ชื่อเสียงนั้น เป็นสิ่งที่คนที่ไม่เคยมีจะไม่มีวันรู้สึกเช่นเดียวกับคนที่มีสิ่งเหล่านี้กันมาก่อน

แล้วคุณก็อาจที่จะมองเห็นถึงความสวยสดงดงามของชีวิตของบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่คุณเคยมองกันในมุมกลับบ้างไหมครับว่า การมีชื่อเสียงนั้น เขาต้องแลกมาด้วยอะไร ความเป็นคน สิ่งที่มีค่าควรแก่การทะนุถนอม เพียงเพื่อเป็นใบเบิกทางในการที่จะรู้จักกับคนที่มีอำนาจพอที่จะสนับสนุนเราได้ และเหตุผลที่เป็นมุมมืดของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เรารู้จัก ดังนั้นคนส่วนมากจะมองเห็นในมุมที่สดใสของศิลปินที่เรารู้จักกันทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่าชีวิตของมนุษย์นั้นย่อมจะมีทั้งด้านที่สว่างและด้านที่มืดกันนะครับ

การมีชื่อเสียงในแบบก้องโลกที่ทุกคนจับตามองกันนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีกันนัก เพราะทุกคนก็ย่อมพยบายามที่จะจับตามองดูกัน ถ้าทำผลงานได้ดีและประสบความสำเร็จ ก็จะมีการชมเชยและยกยอปอปั้นกัน แม้ว่จะจริงใจหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าผลงานนั้นเกิดประสบความล้มเหลว ก็จะมีคนที่พร้อมที่จะเหยียบบ่าเพื่อจะทำให้ตนเองก้าวเดินไปข้างหน้า ดังนั้นการมีชื่อเสียงนั้นบางครั้งช่างเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจกันจริงๆ

ผลงานชุดนี้เป็นผลงานที่ผมมีความคิดว่าเพื่อต้องการพิสูจน์ว่าในวงการเพลงคนผิวดำด้วยกันนั้น คนที่ชื่อว่า Lionel Richie นี้ก็ต้องเป็นหนึ่งเหมือนกัน ในขณะที่วงการเพลงในยุคปัจจุบัน (ในขณะที่ Lionel Richie ออกผลงานครับ) ศิลปินที่โด่งดังที่สุดไมม่ใช่เพียงแต่ในวงการเพลงในแบบแบล็คมิวสิคเท่านั้น มีชื่อว่า Michael Jackson ดังนั้นผลงานของ Lionel Richie ก็จะต้องเป็นผลงานที่ทำกันออกมาอย่างชนิดที่ว่าจะต้องปิดประตูตายกันเลยในแง่ของการตลาด ผลที่ออกมาในแง่ของการตลาดนั้น อาจจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จกันจริงๆ แต่ถ้าเราลองคิดกันดูเล่นๆแล้ว ผมว่าผลงานชิ้นนี้ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ Lionel Richie ต้องการหรอกครับ เพราะเขาไม่สามารถที่จะโค่นผลงานชุด Thriller ของ Michael Jackson ลงไปได้อย่างชนิดตลอดรอดฝั่ง และถ้าจะเอากันจริงๆแล้วผลงานชุดนี้จะโดนผลงานชุด Thriller โค่นด้วยซ้ำ (ถ้าติดตามข่าวคราวววงการเพลงกันมา ก็คงจะมองกันออกนะครับ ในสิ่งที่ผมพูดไป) แต่ถ้าเราจะมองกันจริงๆแล้ว ผลงานทั้ง 2 ชิ้นนี้ มีลักษณะที่เหมือนกันอยู่มากเลยทีเดียว ในแง่ที่ว่าผลงานทั้ง 2 ชิ้นนี้เป็นผลงานที่ทำกันออกมาอย่างเก็งตลาด แบบเจาะตลาดของสมัยนิยมกันจริงๆ พูดง่ายๆว่าผลงานทั้ง 2 ชิ้นนี้เป็นผลงานที่ทำกันออกมาในรูปแบบของธุรกิจเพลงปีอบนั่นเอง และก็เป็นไปอย่างดีที่ได้วางแผน ผลงานทั้ง 2 ชิ้นนี้ประสบความสำเร็จสูง ใครจะสูงกว่ากันเป็นอีกเรื่อง แต่ก็ทำกันพอที่จะมองกันออกได้ว่า งานใดๆก็ตามที่ทำกันออกมาอย่างมีการวางแผน การประสานงาน การมองลู่ทางของตลาดกันแล้ว และทำกันอย่างชนิดที่เรียกว่า ตั้งใจที่จะนำเสนอกันจริงๆ มีน้อยมากที่จะประสบความล้มเหลว และโดยเฉพาะคนที่ทำผลงานในแบบที่มุ่งธุรกิจกันเต็มตัวเช่นนี้เป็นบุคคลที่มีบารมีอยู่ในวงการเพลง มีบารมีอยู่ในความเชื่อถือของคนฟังแล้ว ยิ่งมีโอกาสมากทีเดียว ที่จะเจาะกันเข้าไปสู่ความนิยมของคนฟังกันจริงๆ

ผลงานในชุดนี้ของ Lionel Richie ฟังดูแล้วอ่อนล้ากว่าในชุดแรกของเขามากทีเดียว แบบชุดแรกฟังดูแล้วมีความรู้สึกกันขึ้นมาทันทีว่า นั่นคือเพลงของคนที่ชื่อว่า Lionel Richie ที่เขาตั้งใจที่จะร้องและแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเองกันออกมา แต่ในชุดนี้กลับเป็นในแบบที่ว่า พอฟังกันแล้วก้มีความรู้สึกกันว่า คนร้องนั้นกำลังที่จะวิ่งหาและหวงแหนไว้ซึ่งชื่อเสียงของตนเอง อย่างเพลง Stuck On You เป็นดนตรีในแบบของ Bob Seger ที่เราน่าจะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ของ Lionel Richie ที่สามารถร้องเพลงของคนผิวขาวแล้วคนฟังไม่มีความรู้สึกเลยว่ากำลังฟังเพลงของใครกันอยู่ หรืออย่างเพลง Can't Slow Down ก็เป็นเพลงที่มีแบบอย่างมาจาก Wanna Be Startin' Something ของ Michael Jackson เพียงแต่นำมาทำกันให้ลีลาท่าทางช้าลงนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถ าเราจะมองกันออกมาแล้ว มีหรือครับที่เคยปรากฏว่าคนที่ชื่อว่า Lionel Richie จะหันมาหาเพลงที่มีลีลากันในแบบคอมเมอร์เชี่ยลกันเต็มตัวเช่นนี้ นี่น่าจะมองเห็นกันได้ว่า มีการสำรวจตลาดกันมาแล้วอย่างงชนิดที่เรียกว่ากำหนดบทเพลงกันลงไปเลยว่า เพลงไหนจะต้องเปิดช่องว่างเอาไว้ยังไงที่จะเข้ากันไปถึงตลาดในหลายๆรูปแบบกันได้ ถ้าตลาดมีการเปลี่ยนแปลงก็ยังสามารถที่จะมุ่งบทเพลงนั้นเข้าไปหาตลาดในแนวใหม่กันได้

นี่เป็นลักษณะของคนที่มีชื่อเสียงและพยายามที่จะใช้ชื่อเสียงเป็นใบเบิกทาง ในการคงไว้ซึ่งความอยู่รอดในวงการเพลง โดยที่ไม่ได้คำนึงกันเลยว่า นอกจากคำว่าธุรกิจแล้ว วงการเพลงยังมีอย่างอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าคำๆนี้

ในการฟังเพลงนั้น มีสิ่งหนึ่งที่หลายๆคนอาจจะมองข้ามกันไปในเวลาฟัง นั่นก็คือ การที่ศิลปินหรือนักดนตรีเล็กคนหนึ่ง ที่ยังไม่เคยมีชื่อเสียงมาก่อน เมื่อสร้างผลงานที่มีจุดเด่น มีความคิดสร้างสรรค์หรืออะไรก็ได้อีกหลายสิ่งหลายอย่างที่แสดงว่า บุคคลที่กระทำผลงานกันออกมา มีความตั้งใจหรือมีความสามารถกันจริง ย่อมมีความเด่นมากกว่าศิลปิน หรือนักดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีผลงานในอดีตที่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเกรียงไกรในอดีต ผมก็ไม่แปลกใจกันนักว่าทำไม Lionel Richie ถึงสร้างผลงานในแผ่นนี้กันออกมา เพราะว่าการที่จะคงไว้ซึ่งชื่อเสียงนั้น รูปแบบของธุรกิจมีส่วนสำคัญมากส่วนหนึ่งทีเดียว

งานชิ้นนี้ใช่ว่าเป็นผลงานที่ไม่ดี เพลงก็เพราะ มีหลายแนวที่คนฟังเพลงระดับต่างๆสามารถที่จะรับกันได้ พูดง่ายๆว่าเป็นผลงานที่น่าสนใจทีเดียว แต่ผลงานชิ้นนี้ เมื่อถูกสร้างขึ้นมาจากคนที่ชื่อว่า Lionel Richie แล้ว เราควรที่จะมองรูปแบบกันใหม่ ที่น่าจะพูดกันได้ว่า ผลงานชุดนี้ช่างเป็นผลงานที่ธุรกิจสิ้นดี

SP 187

No comments:

Post a Comment