King Crimson :: In The Court Of The Crimson King (1969)

หมายเลขแผ่น – SD 19155
ราคา – ไม่ทราบจริงๆ
แนวดนตรี – Progressive & Classical Rock
โปรดิวเซอร์ – King Crimson
สังกัด – Atlantic
ออกปี – 1969

ในปี 1969 Genesis ยังคงเป็นป๊อปออกอีเล็คโทรนิค Yes แนวดนตรีเป็นเพลงหวานๆ โดยขาดจุดยืน Camel, Supertramp ฯลฯ ยังไร้จุดยืนเช่นในปัจจุบัน แล้วอยู่ดีๆ มีวงหนึ่งประกาศตนเป็นราชา เขาหยิบยื่นแนวดนตรีแนวหนึ่งให้แก่วงการจนถึงปัจจุบันคงไม่มีนักฟังเพลงคนใดที่จะปฏิเสธว่าแนวโพรเกรสซีฟ ไม่มีจริง จริงอยู่ในอดีตก่อนหน้านั้นอาจจะมีวงดนตรีที่เล่นในแนวนี้มาบ้าง เช่น The Nice แต่ว่ายังคงไม่มีวงไหน เลยที่มีแนวดนตรีโดดเด่น สวยงาม ล้ำลึก เทียบได้กับวงราชาวงนี้ ดังนั้นคงจะไม่เป็นการเกินเลยไปว่า King Crimson คือปรมาจารย์แห่งโพรเกรสซีฟ

หรืออาจจะพูดได้อีกอย่างว่าบุคคลใดที่เคยร่วมงานกับเขา บุคคลนั้นได้รับปริญญาบัตรด้านดนตรีแล้ว ไม่นับ Robert Fripp ผู้ก่อตั้ง ซึ่งผลงานเดียวของเขาบางครั้ง ผมยังไม่กล้าที่จะซื้อด้วยซ้ำ ไม่ใช่ไม่ดี แต่กลัวว่าจะเข้าไม่ถึง (และถ้ามีคนขอมาจะนำมาพูดถึงให้ฟัง) King Crimson ได้สร้าง John Wetton, David Cross, Ian McDonald, Greg Lake ฯลฯ ใช่แต่นักดนตรีฝีมือเยี่ยมเท่านั้นเขายังได้สร้างเพลงร็อคคลาสสิคขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เพลงสองเพลงแต่มีอยู่ในทุกแผ่นของเขาเลยก็ว่าได้ (ไม่นับยุคใหม่ที่เล่นในแนวโพรเกรสซีฟ เร้กเก้ แต่จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาเปลี่ยนแนวแทบทุกชุด) ผลงานเพลงอมตะของเขาก็เช่น Easy Money, Larks’ Tongues In Aspic, In The Wake Of Poseidon ฯลฯ

แฟนๆ เดินตามร่องคงจำกันได้ผมสัญญาจะนำแผ่นชุด IsLands ของเขามาเขียน ผมขยับจะเขียนมา 8 เดือนแล้ว แต่ไม่กล้าครับ ดนตรีฟังยากจริงๆ ใครก็ตามที่เริ่มฟังโพรเกรสซีฟ อย่าคิดไปเริ่มจากชุดนี้เลยครับ เพราะถ้าคุณไม่ชอบคุณจะสาบส่งแนวดนตรีนี้กันเลย ผมฟังโพรเกรสซีฟมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 10 ปีกว่าๆ ผมยังว่าชุดนี้ยากเลย แต่ผมมีเหตุผลที่ว่าถ้าจะเริ่มฟัง โพรเกรสซีฟแบบ King Crimson ควรเริ่มจากชุด In The Court Of Crimson King นี้ครับ

​ในความคิดเห็นของนักวิจารณ์เมืองนอก เขาบอกว่า King ได้มาถึงจุดสุดยอดแล้วจากชุดแรกนี้ แต่ Robert Fripp (King Crimson) ได้พิสูจน์ออกมาว่าเขาสามารถสร้างแนวดนตรีที่ดีได้ไม่มีวันหมดสิ้น แต่ในตอนนี้จะไม่พูดถึงแผ่นต่อๆ มาของพวกเขา แต่จะพูดถึงแต่ชุด Crimson King นี้เท่านั้น แต่ก็ต้องเกริ่นประวัติกันนิดหน่อย เพราะนี้เป็นแผ่นที่ฟังยาก ต้องสร้างพื้นฐานให้แก่คนที่อยากฟังจะได้พอเข้าใจอะไรกันบ้างและขอออกตัวว่าที่จะพุดนี้ แค่ยุคแรกของเขาเท่านั้น

King Crimson มีลักษณะแปลกอยู่อย่างคือ เนื้อเพลงทั้งหมดและทำนองในบางครั้ง Pete Sinfield เป็นผู้ประพันธ์ โดยไม่เล่นดนตรีเลย แต่มีเครดิตเป็นหนึ่งใน King Crimson แต่ต้องพูดกันตรงๆเลยว่าถึงคุณจะเก่งภาษาคุณแปลเนื้อร้องออก ใช่ว่าคุณจะเข้าใจความหมายจริงๆ ก็หาไม่ เพราะพี่ท่านรู้สึกจะเล่นถ้อยคำที่กำกวมในความกำกวม (เรียกว่ากำกวมยกกำลังสองครับ) ในที่นี้หมายความว่าคุณจะต้องมีความคิดที่โลดแล่นหน่อยนะครับ และถ้าเป็นผู้ที่สนใจในความหมายของรูปธรรมและนามธรรม คงเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น มีแผ่นที่ต้องตีความหลายชุด ซึ่งผมตีความให้คุณฟังเช่น Aqualung, Dark Side ฯลฯ แต่สำหรับชุดนี้ขอออกตัวว่าจะผ่านเรื่องความหมายนะครับ เพราะบอกจริงๆว่ายากจริงๆ ใจจริงกลัวครับว่าจะผิด แค่จับชุดนี้มาเขียนก็กล้าแล้วครับ เพราะดนตรีของเขาเป็นไปในรูปแบบของการสอดใส่อารมณ์ เข้าไปสู่กระแสวังวนของดนตรีที่บ้าคลั่ง ซึ่งคล้ายลักษณะของดนตรีแจ๊ส แต่เป็นในลักษณะของ Fusion แต่นั่นเป็นลักษณะแฝง ลักษณะเด่นชัดคือ โพรเกรสซีฟ และคลาสสิคคัลครับ

21st century Schizoid Man Including Mirrors นี่เป็น 1 ในเพลงอมตะของพวกเขา อาจจะพูดได้ว่า ถ้าใครเป็นแฟนเพลงของเขาต้องรู้จักเพลงนี้ครับ ดูลวดลายการใช้กีตาร์ของ Fripp ว่าหนักหน่วงรุนแรงขนาดไหน แต่พอคิดๆ ไปจะไม่พูดถึงความหมายของบทเพลงคุณผู้อ่านก็อาจจะไม่เข้าใจเพลงทุกเพลงในที่นี้เกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นการมองมนุษย์ในแง่ของผู้ประพันธ์ ซึ่งเพลงเริ่มต้นนี้ เขาหมายความถึงการเป็นกระจกส่องเงาของมนุษย์ในอนาคตนะ หลายๆ คนฟัง King Crimson เพลงนี้ เพลงแรกอาจจะทนฟังไม่ได้เลย แต่ถ้าฟังกันต่อไปทั้งชุดคุณจะเห็นว่าเขามีจุดเริ่มต้นและจบที่สวยงามมาก

I Talk To The Wind เป็นเพลงที่ตามมา ถ้าคุณฟังเฉพาะเพลงจะไม่เห็นถึงความกลมกลืน เพราะเพลง 21st Century นั้นหนักหน่วงแต่ I Talk กลับนิ่มนวลจริงๆ ถ้าจำไม่ผิดรายการ Top Teen Talent รู้สึกจะเปิดเพลงนี้บ่อย เนื้อร้องก็คล้ายกับชื่อเพลงล่ะครับ “อันตัวข้ากำลังคุยกับสายลม” คล้ายๆ กับจะบอกว่า ถ้าคนเราได้ทำในสิ่งใดลงไป แต่ถ้าไม่มีใครมองเห็นผลดีของสิ่งนั้นแล้วการกระทำสิ่งนั้นจะมีคุณค่าอะไรบ้างไหม จากประโยคในบทเพลงที่ว่า

​“I talk to the wind The wind does not hear The wind cannot hear”

คนที่เป็นแฟนเพลงของ ELP คงรู้จักแผ่นประวัติศาสตร์ของเขาดีในชุด Tarkus ,Greg Lake ยืมบทเพลง Epitaph ในช่วงสุดท้ายไปใช้ในช่วงเพลง Battlefield (จำไม่ได้ว่าชุด Tarkus มีเพลงนี้ไหม แต่ในชุดการแสดงสดมีครับชุด Welcome Back ฯลฯ) เราอาจจะพูดได้ว่าบทเพลงของ King เป็นบทเพลงที่ไม่ตาย ซึ่งถ้าคุณได้ฟังตอนขึ้นต้นของเพลงนี้ อาจจะทำให้คุณนึกถึงวง Moody Blues ขึ้นมาทันที แต่คุณต้องจำให้ดีนะครับชุดนี้ออกปี 1969 เพลงนี้เป็นลักษณะของคลาสสิคคัลร็อค อย่างเห็นได้ชัด “คำจารึกบนหลุมศพ” เพลงนี้เราๆ ซึ่งเป็นคนไทยคงจะไม่ซาบซึ้งไปกับเนื้อร้องของเขาเท่าไหร่นัก เพราะวัฒนธรรมซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างกันไป

ถ้าเข้าใจไม่ผิด 3 เพลงจากหน้า 1 นี้ เป็นบทเพลงที่ช่วยขยายความภาพหน้าปก ในตอนที่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่มนุษย์ต้องพบกับความรู้สึกรัก สุข เศร้า หรืออะไรก็แล้วแต่ในความรู้สึกของความเป็นมนุษย์อย่างที่เราๆ ท่านๆ ต่างมีความรู้สึกของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป แต่จากเนื้อเพลงและภาพในหน้าปกแล้วรู้สึกว่า King มองโลกในแง่ร้าย เพราะคุณลองดูภาพหน้าปกแผ่นซิครับ เพราะผมคงคัดลอกเนื้อเพลงทั้งหมดลงไม่ได้แน่นอนดูสายตาที่หวาดระแวง หวาดผวา การใช้โทนสีแดงเป็นภาพใบหน้าของมนุษย์ผู้นั้นซิครับว่า มนุษย์ผู้นั้นมีความรู้สึกที่เป็นสุขไหม ถ้าคุณสร้างอารมณ์คล้อยตามได้ ผลงานในหน้าแรกนี้ก็คงไม่ยากเท่าไหร่หรอกครับ

ชุดนี้หน้าปกเปิดได้ ภาพในของชุดนี้จะเป็นรูปใบหน้าของมนุษย์แต่ใบหน้าอิ่มเอิบมีรอยยิ้ม เต็มไปด้วยความสุข แต่ถ้าคุณสังเกตดูตรงฟันจะเห็นได้ว่าบุคคลผู้นี้มีเขี้ยวที่น่ากลัว ซึ่งตรงกับลักษณะของเพลง Moonchild (หน้าสองเพลงแรก) จุดเด่นของเพลงนี้อยู่ในช่วงบรรเลงซึ่งเป็นบรรยากาศของการแปรปรวนของอารมณ์ของมนุษย์โดยใช้เครื่องเพอร์คัสชั่น (เครื่องเคาะจังหวะ) อันเป็นฝีมือของ Michael Giles (เป็นเพื่อนเก่าของ Fripp ก่อนจะตั้ง King Crimson เคยออกแผ่นกับ Fripp มาก่อนด้วย) ซึ่งจะพูดไปแล้วแผ่นนี้ทุกๆ คนมีโอกาสแสดงฝีมือออกมาได้ไม่น้อยหน้าซึ่งกันและกัน

​และปิดท้ายชุดนี้ด้วยเพลง The Court Of The Crimson King เขาก็กลับสู่แนวคลาสสิคคัล ร็อค อีกครั้ง ผมชื่นชอบจริงๆ เพราะไม่มีการเอาวงออเครสตร้ามาบรรเลงเลย แต่ทำได้ยิ่งใหญ่จนไม่นึกว่าคนเพียงแค่ 4 คน (เล่น) สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ McDonaldรู้สึกว่าจะถนัดเพลงหวานๆ เช่นนี้เป็นพิเศษ เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมเมื่อเขาอยู่กับ foreigner จึงไม่ประพันธ์ดนตรีดีๆ ขึ้นมา จนต้องถูกไล่ออกจากวงไปทั้งๆ ที่มีฝีมือของเขาไม่เป็นสองรองใครเลย 

ลักษณะของเพลง The Court Of The Crimson King นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับเพลง Epitaph (สมมุติ) ถ้าได้ฟังต่อกันไปเลยคนฟังอาจจะนึกว่าเป็นเพลงเดียวกันไปเลยก็ได้ ลักษณะในการทำเพลงที่มีท่วงทำนองคล้ายคลึงกันนี้ Genesis เคยนำไปใช้ (ไม่ทราบว่าหยิบยืมความคิดกันหรือเปล่า) ครั้งหนึ่งในแผ่น A Trick Of The Tail มาแล้ว จะเห็นได้ว่า King Crimson ได้สร้างรูปแบบของดนตรีดีๆ ในหลายรูปแบบไว้ในชุดเดียวเท่านั้นเอง จะไม่พูดว่าพวกเขาหาแนวทางออกให้กับชุดต่อๆ ไปเช่นไร เช่นชุด In The Wake Of Poseidon เพราะโอกาสข้างหน้าคงได้นำชุดต่างๆ ของเขามาแนะนำอีก ผลงานพวกนี้เป็นผลงานที่ไม่ตาย แต่ต้องขอทิ้งช่วงไว้เล็กน้อย (เล็กน้อยในที่นี้สำหรับผมอาจจะหมายถึงยาวนานสำหรับคนอ่าน) เพราะยังมีแผ่นดีๆ อีกมากมายที่จะมาเปิดโลกทรรศน์ให้คุณครับ

ในเมืองนอก I Talk To The Wind เป็นอีกเพลงหนึ่งที่เขาถือว่ายิ่งใหญ่มากสำหรับ King Crimson, McDonald ได้รับยกย่องมากในฐานะผู้ประพันธ์ แต่ไม่เคยได้รับยกย่องในฐานะผู้เล่นคีย์บอร์ดเลย เพราะแนวทางดนตรีจริงๆ นั้น Fripp เป็นผู้สร้างเทคนิคการเล่นกีตาร์แปลกๆ ขึ้นมา (21st Century) Lake เป็นผู้ร้องเพลงได้เข้าถึงวิญญาณแห่งอารมณ์ที่สุด เพราะหลังจากเขาออกไปเพลงของวงนี้ขาดความหวานลงไปมาก Giles เป็นผู้เบิกวิถีทางของผู้เล่นเพอร์คัสชั่นขึ้นมา แต่ในฐานะมือกลอง เขาไม่สามารถเปล่งรัศมีออกมาได้เต็มที่ สำหรับ Sinfield ไม่ต้องพูดถึงว่าเนื้อร้องของเขายิ่งใหญ่ขนาดไหน

​ตามความจริงผมอยากจะอธิบายถึงเพลงต่างให้ละเอียดและให้เข้าถึงกว่านี้ แต่ติดขัดตรงหน้ากระดาษมีจำกัด จะสรุปให้ฟังง่ายๆว่า ผู้ที่ชอบฟังโพรเกรสซีฟหรือคลาสสิคคัลสมควรหาผลงานชุดนี้มานั่งฟัง เพราะแนวดนตรีสมัยปัจจุบันยากกว่านี้ตั้งหลายเท่า และสำหรับผู้ที่สนใจในเนื้อร้องแปลแล้วตีความหมายไม่กระจ่างก็ไม่ต้องไปแคร์อะไรมากนัก เพราะคนหลายคนที่เขาเก่งๆ ก็ตันและจนแต้มมาแล้ว ถ้าคุณมีความเข้าใจต่อบทเพลงของเขาเช่นไรในด้านความหมาย ผมคิดว่าความคิดของคุณไม่ผิดหรอกครับ เพราะพี่ท่านเล่นถ้อยคำกำกวมเหลือเกิน เพราะสาเหตุนี้ผมจึงไม่กล้าขยายบทเพลงของเขามากนัก แต่ที่แน่ๆ เนื้อร้องของเขาพูดถึงมนุษย์นะครับ

SP 181

No comments:

Post a Comment