Pink Floyd :: Works & Pink Floyd :: The Final Cut (1983)

แนวดนตรี - Classical rock
โปรดิวเซอร์ - Roger Waters, James Guthrie, Michael Kamen

Pink Floyd คนทุกคนคงจะรู้จักกันดีไม่มากก็น้อย แต่จะมีใครสักคนที่รู้จักในสมัยก่อนที่ Dark Side จะออกกันอย่างจริงๆจังๆ ชุด Works นี้มีคำถามข้อหนึ่งว่า ทำไมถึงต้องตั้งชื่อแผ่นเช่นนี้ แคปิตอลหากินกับการรวมเพลงเอกของบีทเทิ่ลส์ยังไม่สะใจพี่ท่านอีกหรือ ยังรวมไม่เพียงพอ เด็กรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมา เด็กพวกนั้นหาแผ่นของพิงค์ฟลอยด์รุ่นเก่าๆฟังยากลำบากเหลือเกิน (หรือศิลปินคนใดก็ตาม) แคปิตอลใจดีช่วยเอื้อเฟื้อให้ จับเพลงนั้นจากชุดเก่าๆมารวมกัน เคยคำนึงบ้างไหมว่า เพลงของพิงค์ฟลอยด์มีเพลงเอกไหม การจับมายัดรวมกัน สร้างอารมณ์อันต่อเนื่องได้ไหม แล้วการปล่อยแผ่นออกมาได้ช่วงจังหวะมากเลย

ทำไมคนเขียนมีความจงใจเกลียดชังแผ่นรวมเพลงเอกมากมายขนาดนี้เชียวหรือ ถึงตีกันแล้วตีกันอีก ถ้าคุณจะสังเกต แผ่นรวมเพลง 2-3 ฉบับที่แล้ว ผู้เขียนไม่ได้เขียนบอกให้ทราบไว้ก่อน ขอบอกว่าผู้เขียนไม่ได้รังเกียจชุดรวมเพลงเอกเลย เป็นสิ่งดีเสียอีกที่จะให้คนรุ่นใหม่ซื้อหาในราคาที่ถูก แต่สิ่งที่ผู้เขียนขยะแขยงกลับเป็นในเรื่องความไม่จริงใจ ในการนำเสนอเพลงในแบบรวมเพลงเอก (ที่จริงจะว่าเป็นเพลงเอกก็ไม่ถูก) เพียงแต่สรรหาเพลงที่พอจะจับยัดลงไป แล้วเปลี่ยนชื่อแผ่นให้แปลกออกไป เช่น Beatles แคปิตอลหากินมากี่ชุดแล้ว และพิงค์ฟลอยด์นี่ไม่ใช่ชุดแรกที่แคปิตอลหากิน ครั้งแรกเป็นการนำแผ่นชุดหนึ่งและสองมารวมกันแล้วตั้งชื่อแผ่นใหม่ว่า Nice Pair และเคยมีแผ่นรวมเพลงเอกออกมาอีกชุดชื่อ Relics มีหลายเพลงเหมือนกันที่ซ้ำกับชุดนี้ นี่ต่างหากคือสิ่งที่ผู้เขียนจะบอก

ดังนั้นผู้เขียนไม่เคยละอายใจในข้อเขียนเช่นนี้เลย อย่าพยายามทำตัวเป็นพยาธิในกระเพาะอาหารของคนอื่นนะครับ เหรียญบาทเหรียญเดียวยังมีสองด้าน ถ้าเรามองคนละด้าน เราก็เห็นในสิ่งตรงกันข้าม ในครั้งนี้แคปิตอลขายผ้าเอาหน้ารอดว่าผลงานชิ้นนี้มีเพลง Embryo ซึ่งไม่เคยถูกอัดออกขายมาก่อน ก็ตามสบายนะครับ

ในครั้งนี้ที่พูดถึงแผ่นรวมเพลงเอกยาว เพราะต้องการจะพูดถึงความโด่งดังของพิงค์ ฟลอยด์ แอนโธนี่ ฟิลลิปส์ อดีตมือกีต้าร์ของเจเนซิสเขียนไว้ในแผ่นชุด Private Parts & Pieces II ว่า "This album is dedicated to all those who champion the old-fashioned ideals of beauty, lyricism and grandeur in art against the tide of cynical intellectualism and dissonance" ไม่ว่าคำพูดประโยคนี้จะประชดประชันตัวของเขา (แอนโธนี่) เอง หรือไม่ก็ตาม แต่คำพูดประโยคนี้ ได้ตบหน้าคนหลายๆคน (ขยายความนะครับ) ว่าทำไมศิลปินบางคนจึงไม่มีชื่อเสียงขึ้นมาในขณะที่เขายังอยู่ เขายังมีไฟที่จะเสนอในสิ่งที่เขาต้องการตามไฟแห่งอารมณ์ของเขา ทำไม บอกเหตุผลมาซิว่าทำไม บางคนก็หลงใหลอยู่ในศิลปินที่ตนนึกว่าตนเองชื่นชอบโดยไม่ได้คำนึงเลยว่า ตนชอบไหม พอมีคน 100 คน (สมมุติเป็นชนกลุ่มใหญ่นะครับ) บอกว่าศิลปินคนนี้เก่งนะ คนรุ่นหลังก็ชอบตาม แล้วบอกว่าเก่ง โดยไม่ได้ดูเลยว่าเขาเก่งเพราะอะไร ก็เหมือนคนไทยบางคน พอศิลปินคนใดเมืองนอกตูมขึ้นมาว่าเก่ง กางตำราดูว่าคนเมืองนอกเขาพูดถึงศิลปินคนนี้ว่าอย่างไร โอ้ย เขาจบปริญญาทางด้านดนตรีมา แสดงว่าเขาต้องเก่ง ถ้าเขาพูดอะไร เราก็รับเขามา เพราะยังมีคนเช่นนี้อยู่ในเมืองไทย แค่เรื่องแค่นี้ยังต้องตามตำรา หัดคิดเองบ้างสิครับ เข้าถึงก็บอกว่าเข้าถึง เข้าไม่ถึงก็บอกว่าเข้าไม่ถึง ถูกผิดไม่สำคัญหรอกครับ ขอให้เป็นความคิดของตัวเองไว้ก่อนก็ยังดี ดีกว่าไปผิดเพราะความคิดของคนอื่น แล้วก็โยนความผิดไปบอกว่าก็นักวิจารณ์เมืองนอกเขาบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอถูกก็บอกว่านี่ความคิดของข้า มิน่าล่ะ ศิลปินบางคนถึงไม่ดังเท่าที่ควรจะดัง มิน่าล่ะเราถึงล้าหลังเขาเช่นนั้น มิน่าล่ะ สังคมมันถึงเลวเช่นนี้

เพราะการรับความคิดของคนเมืองนอกท่าเดียว ถ้า Asia ไม่ดีจะมีใครชอบ ถ้าพิงค์ ฟลอยด์ไม่ดังจะมีใครคิดถึงผลงานเก่าๆของเขาไหม

คิดเอาเองก็แล้วกันว่าผลงานคุ้มไหมที่จะซื้อ แต่ถ้าถามผม ก็จะต้องบอกว่า ถึงแม้เพลงหลายๆเพลงจะไม่เป็นเพลงเอกแบบที่คุณรู้จักเช่น Time, Money แต่เพื่อประหยัดในการซื้อหา ก็จะต้องบอกว่าคุ้มครับ แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่เป็นผลงานของ Roger Waters เป็นส่วนมาก ซึ่งทำให้คุณไม่สามารถจะมองเห็นถึงความเป็นพิงค์ ฟลอยด์ที่แท้จริง

จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าเด็กสองคนขัดใจกัน เกิดการชกต่อยกันขึ้น นั่นคือการทะเลาะวิวาท แต่ถ้าประเทศ 2 ประเทศขัดใจกันเกิดการรบรากัน นั่นคือสงคราม เห็นไหมครับไม่ได้ผิดกันเลยระหว่างการทะเลาะวิวาทกับคำที่เราเรียกว่าสงคราม ตราบใดก็ตามที่เราไม่สามารถหยุดทะเลาะการวิวาทได้ ตราบนั้นเราก็หยุดคำว่าสงครามไม่ได้ แล้วกฎเกณฑ์ของคำ 2 คำนี้มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันคือ ผู้ชนะเท่านั้นที่เป็นฝ่ายถูก เด็กทะเลาะกัน อาจจะถูกผู้ใหญ่ทำโทษเพราะผู้ใหญ่เข้มแข็งกว่าเด็ก (คำว่าเข้มแข็งนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้อำนาจนะครับ) แล้วถ้าประเทศทำสงครามกันล่ะ มีใครทำโทษ สหประชาขาติหรือ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีคำถามเกิดขึ้นมาได้เสมอ แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ให้คำตอบ ก็ผู้เข้มแข็งกว่าเราล่ะสิ (บอกแล้วว่าเข้มแข็งในที่นี้กินความหมายกว้าง)

Roger Waters อาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการทางความคิด จนกระทั่ง Rick Wright ลาออก ใจจริงผมคิดว่า เป็นความจริง แต่เป็นเวลานานเหลือเกินกว่าคนจะยอมรับว่า Waters เป็นมือหนึ่งของพิงค์ ฟลอยด์ เพราะทุกครั้งที่ใครคิดถึงพิงค์ ฟลอยด์ก็นึกถึงแต่ David Gilmour แต่ความจริงจากใจผมนึกถึง Waters มานานแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องในใจใช่ไหมครับ บอกไปตอนนี้บางคนอาจจะคิดว่าก็ใช่สิ ก็ตอนนี้เขาเด่นกว่าก็พูดได้สิ ผมถึงบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องในใจ ไม่มีใครรู้ดีเท่าคนพูดว่าคนพูดคิดเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่นเดียวกับการทำงานของ พิงค์ ฟลอยด์ หรือ Waters ว่าเขามีความจริงใจต่อความคิดที่เขาแสดงออกมามากน้อยขนาดไหน

จากชุด The wall มองเห็นได้ว่า Waters เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายแต่ไม่คับแคบ ยกตัวอย่างเพลงที่ทุกคนที่เป็นนักฟังเพลงคงจะรู้จัก คือเพลง Another Brick In The Wall Part II ซึ่งเป็นการกล่าวถึงการศึกษา การใช้ประโยคปฎิเสธซ้อนปฎิเสธ แต่ถ้าจะพูดกันตามความจริง ความคิดของ Waters ถูกหรือผิด คนทุกคนต้องการหรือซึ่งการศึกษา เด็กบางคนพ่อแม่ส่งไปเรียนเข้าหน้าโรงเรียนแต่เดินออกหลังโรงเรียนก็มากไป เด็กบางคนยอมเป็นคนยกน้ำแข็งดีกว่าที่จะเรียนหนังสือ คนบางคนอาจจะบอกว่าไม่จริงหรอก จริงครับ เพราะผมเจอมากับตัว พาไปดูเด็กคนนั้นเดี๋ยวนี้ยังได้ แน่นอนในอนาคตเขาอาจจะคิดถึงการศึกษา แต่ก็แค่อาจจะเท่านั้นเอง ดังนั้นความคิดแต่ละอย่างมองมุมกลับได้ทุกอย่าง

แต่ Final Cut ตีแผ่อะไรออกมา การใช้ฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะชีวิตของ Eric Fletcher Waters มีชีวิตในช่วง 1913 ถึง 1944 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเอามาประยุกต์เข้ากับเหตุการณ์ในปัจจุบัน จะบอกให้ว่าผมคิดว่า Waters มองโลกในแง่ร้ายด้วยสายตาคับแคบมาก ซึ่งผิดกับ The Wall เลย แบบที่บอก The Wall มองโลกในแง่ร้ายด้วยสายตาที่กว้างไกล แต่ The Final Cut ตรงข้าม แน่ใจหรือว่าถ้า Waters อยู่ในสถานะเช่นเดียวกับแธทเชอร์, เบกิ้น, นิกสัน, เบรสเนฟ วอเตอร์สจะไม่ทำในสิ่งที่บุคคลพวกนี้ได้กระทำลงไป วอเตอร์สอาจจะกระทำสิ่งที่เลวร้ายกว่าที่เขาได้ด่ากราดไปอีก 100 เท่า 1000 ทวีคูณก็ได้ หรือเขาอาจจะกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามก็ได้ ถ้าเขาจะด่าใครสักคนหนึ่ง เขารู้สิ่งแน่นอนของพวกนั้นแล้วหรือ สิ่งที่เรารู้กับสิ่งที่เราพิสูจน์อาจะอยู่ในทางตรงกันข้ามก็ได้

เช่นในประเทศหนึ่ง ผู้ยิ่งใหญ่ขยายเวลาในการส่งสินค้าออกนอกประเทศ เขากล้าสาบานหัวเด็ดตีนขาดว่าผมไม่ได้รับเงิน ไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นหรืออะไรต่างๆนาๆ ขอให้ทราบว่าสิ่งที่เขาสาบานเป็นความจริง แต่เคยมีใครไปเช็คเงินที่พรรคไหมครับ ว่าพรรคได้รับเงินอะไรมาในตอนนั้น ถึงเคลียร์ได้ก็ไม่มีทางจะตรวจสอบได้ว่า พรรคได้รับเงินมาจากทางใด เขามีเหตุผลอ้างได้ต่างๆนาๆ หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้กุมอำนาจในเขตมณฑลหนึ่ง ได้รับตำแหน่งแล้ว ทำไมอีก 2 อาทิตย์ต่อมาที่ดินส่วนตัวจึงถูกขายไป และเงินที่ได้มาไม่ได้ฝากธนาคารในนามของตนเองหรือถูกนำไปลงทุนอะไรเลย แล้วเงินหายไปไหนครับ บอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องสมมุติ แต่ถ้าเรื่องพวกนี้คุณเกิดทราบขึ้นมา คุณพิสูจน์ได้ไหม ระหว่างเรื่องที่เรารู้ กับเรื่องที่เราพิสูจน์ได้ บางครั้งอาจจะเห็นเป็นเส้นขนานก็ได้

เช่นเดียวกับ Final Cut ด่ากราดเขาไปได้ทั่วว่าสงครามนี้มันเลวร้ายนะ หลังจากสงครามยุติแล้วคนที่ได้ชื่อว่าวีรบุรุษอาจไม่ใช่บุคคลคนเดียวกันกับที่เราเคยรู้จักกับเขามาก่อนที่เขาจะได้เป็นวีรบุรุษก็ได้ สิ่งเหล่านี้เราทุกคนต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าบุคคลที่รับรู้สิ่งเหล่านี้จะมีจิตใจละเอียดอ่อน หรือแข็งกระด้างในการมองสิ่งเหล่านี้เช่นไร ไม่ใช่ว่าตนเองมีปากกา มีหน้ากระดาษ มีโอกาสจะแสดงออกมาสู่สาธารณชน ไม่ว่าจะเป็นในการเขียนภาพยนตร์ หรือทางเพลง อย่ามองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยลักษณะอันผิวเผิน ถ้าคุณจะว่าใคร ว่าอะไร หรือชมด่า ยกย่อง สรรเสริญ คุณต้องรู้ในสิ่งนั้นให้จริง ไม่ใช่เพียงแต่เขียนบทเพลงขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแต่ทำภาพยนตร์ขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแต่เขียนบทความขึ้นมา และมีโอกาสได้ออกสู่สายตาของคนทั่วไป บทความ บทเพลง หรือภาพยนตร์นั้นอาจจะไม่มีผลต่อความรู้สึกของคนบางคน แต่เช่นเดียวกันในทางตรงกันข้าม ก็อาจจะมีผลต่อความรู้สึกของคนบางคน ถ้าบุคคลที่มีผลกระทบต่อความรู้สึก มีวิจารณญาณแยกแยะได้ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่มีล่ะ พวกคุณกำลังปลูกฝังอะไรลงไปให้แก่เด็กพวกนั้น เช่นเดียวกันข้อเขียนในเดินตามร่องอาจจะทำให้บุคคลบางคนเข้าใจผิดก็ได้ แต่ผู้เขียนก็ได้ย้ำแล้วว่า เป็นเพียงความคิดของผู้เขียน แต่พิงค์ ฟลอยด์ล่ะครับ เสนออะไรออกมา สงครามโลก เดินเรื่องไปจนถึงการกลับมาของผู้ชนะ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ สภาพจิตใจของสังคมหลังจากที่บุคคุลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษได้กลับมา และในช่วงแต่ละเพลงก็นำมาประยุกต์เข้ากับสมัยนิยมในปัจจุบัน บอกจริงๆครับ เพลงของพิงค์ ฟลอยด์แปลไม่ยาก แต่เข้าใจยาก ผมไม่เข้าใจทุกเพลง เล่นใช้ถ้อยคำกำกวม ตีความหมายได้หลายแง่ จากการพยายามเปิดดิกจนมือหงิก

เรามีหนังสือสะท้อนภาพของสงครามกี่เล่ม เรามีภาพยนตร์ที่ด่าสงครามกี่เรื่อง และพิงค์ ฟลอยด์ ก็ไม่ใช่วงแรกที่นำเสนอบทเพลงเกี่ยวกับสงคราม พิงค์ ฟลอยด์ ลืมคำพูดประโยคหนึ่งไปว่า

"มันปล้นเงินมาสิบล้าน ใช้เงินหนึ่งล้านไปสร้างสะพานสร้างทาง กลางคืนมันฆ่าคนไป 100 คน กลางวันมันบริจาคข้าวบริจาคยาช่วยคนจน หากคนเลว คนชาติชั่ว คนปากอย่างใจอย่าง คิดจะเป็นนักบุญคิดจะให้สังคมมองคนอย่างมันเป็นคนดี ย่อมง่ายดายกว่าคนธรรมดาที่เป็นคนดีในแบบธรรมดามากมายนัก"

จากคำพูดประโยคข้างบนเป็นคำจำกัดความที่ดีของชุดนี้- Final Cut ว่าพิงค์ ฟลอยด์ มองสงครามในมุมกว้างเกินไปจนลืมมองสงครามในมุมแคบๆเลย สงครามไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศต่อประเทศปะทะกัน แต่อาจจะเป็นเด็กสองคนชกต่อยทะเลาะวิวาทกันก็ได้

สรุปในด้านความหมายของแผ่นนี้ พิงค์ ฟลอยด์ทำได้สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในด้านเนื้อเพลงที่ผมยังคิดว่าบางเพลงผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ก็คิดว่าวอเตอร์สได้กลั่นกรองออกมาจากใจจริงๆ แต่ทำไมให้ 5 ดาว ไม่ใช่ 6 ดาว เหตุผลก็คือ ชุดนี้เครียดโดยใช่เหตุ การเสนอเพลงต่างๆคับแคบในความคิดเหลือเกิน ด่ากราดเขาไปทั่ว แล้วคุณคิดว่า ถ้าคุณอยู่ในลักษณะเช่นเขา คุณจะทำเช่นเขาไหม เนื่องจากผมไม่แน่ใจในข้อนี้ต่างหาก เพราะสังคมปัจจุบัน คนปากว่าตาขยิบเยอะครับ

ส่วนท่วงทำนอง ผมคิดว่าชุดนี้มีท่วงทำนองที่ทำได้สมบูรณ์แบบกว่า The Wall อีกครับ เป็นดนตรีที่มีความเร้าใจ ความสดใส ความหมายที่เข้ากับท่วงทำนองได้อย่างหมดจด และในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าบทเพลงของพิงค์ ฟลอยด์จะออกมาในท่วงทำนองใด จะมีลักษณะแห่งความเครียดเข้าไปปะปนทุกเพลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้สำเนียงอคูสติกกีต้าร์ การสอดใส่เสียงแซกลงในบทเพลง สามารถทำให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการขึ้นมาได้ โดยไม่จำเป็นต้องดูเนื้อ คือการเกิดอารมณ์คล้อยตามนั่นเอง ถ้าคุณชอบท่วงทำนองเพลงที่เร้าใจ ผลงานชุดนี้ก็เร้าใจมาก แต่ก็ไม่ใช่เร้าใจในแบบที่คุณคิด แต่เป็นการเร้าใจในขอบเขตของเนื้อหาของเพลงครับ

ก็พูดกันแค่นี้นะครับ จะเห็นได้ว่าไม่ได้พูดถึงเพลงอีกเช่นเดิม เพราะนั่นคือเจตนา ถ้าพิงค์ ฟลอยด์สะท้อนสงคราม การเมือง ในสายตาของโรเจอร์ วอเตอร์ส ออกมาได้เช่นนี้ ผมก็สะท้อนความคิดเห็นที่มีต่อผลงานชุดนี้ออกมาเช่นนี้ ถ้าข้อเขียนชิ้นนี้ยาว เพราะผู้เขียนเจตนาให้ยาว ผู้เขียนจะไม่เขียนว่าไม่มีเจตนาให้ยาว แต่การกระทำกลับเป็นตรงกันข้าม เพราะนั่นไม่ใช่การโกหกผู้อ่านแต่เป็นการโกหกตัวเอง ผู้เขียนตั้งใจพยายามหลีกเลี่ยงการเล่าประวัติของศิลปินต่างๆเพราะนี่คือการนำผลงานของศิลปินมาพูดถึงผลงาน ไม่ใช่การนำผลงานของเขามาพูดถึงประวัติ แต่อาจจะมีบ้างเล็กน้อยนะครับ

แล้วคุณผู้อ่านเข้าใจถึง Final Cut หรือยัง ถ้าไม่เข้าใจผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าจะอธิบายเช่นไร แต่มีคำจำกัดความสั้นๆสำหรับผลงานชิ้นนี้ว่า คับแคบทางความคิดเหลือเกิน แต่ถ้าจะถามว่าคุ้มเงินไหม ผู้เขียนก็ต้องบอกว่า แผ่นนี้ต้องเป็นหนึ่งในแผ่นที่มีคุณค่าให้คุณซื้อ ไม่ว่าจะเป็นในปัจจุบันหรืออนาคต แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าผลงานชิ้นนี้ดี แต่ผลงานที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องชมใช่ไหมครับ การมองเห็นคุณค่าในดนตรี เป็นเรื่องไม่ง่ายนัก แต่การมองในมุมกลับ ในผลงานดนตรีเช่นนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

SP 180

No comments:

Post a Comment