John Williams :: The Guitar Is The Song (1983)

หมายเลขแผ่น - FMT 37825
ออกปี - 1983
แนวดนตรี - Guitar Classic (Folksong Collection)
สังกัด - CBS

มีคำพูดประโยคหนึ่งที่คิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินว่า นักประพันธ์ต้องมีนิสัยเหมือนสิ่งที่เขาเขียนหรือไม่ คิดว่าเรื่องนี้มีการพูดถึงกันมากมายและไม่รู้จักจบกันเสียที แต่ใจผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญเท่ากับการที่คนเราจะแสดงความคิดเห็นอะไรต้องเป็นในสิ่งที่ตัวคนแสดงความคิดเชื่อ แต่สังคมปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้น คนส่วนมากเป็นประเภทปากกว่าตาขยิบ คนบางคนตอนมีไฟอยู่ก็ว่า (ยกตัวอย่างนะครับ ) จักรวรรดินิยมอเมริกาเลวเช่นนั้นเช่นนี้ แต่ปัจจุบันก็ไปเรียนที่นั่น ไปเรียนยังไม่พอ ยังพยายามหาหนทางแขวะประเทศที่ตนเองไปร่ำเรียนว่าไม่ดี ก็อยากจะถามว่า ประเทศเขาไม่ดีแล้วไปเรียนกันทำไมล่ะครับ

ผมก็ไม่รู้ว่าแฟนๆสตารืพิคส์จะรู้จัก John Williams มากขนาดไหน แต่ก่อนจอห์น วิลเลี่ยมส์ (ไม่ใช่คนที่แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์นะครับ) เป็นนักดนตรีคลาสสิก ออกไปด้านเพลงแจ๊ส แต่ภายหลังถ้าคุณติดตามมาบ้างพอสมควรจะทราบว่าเขาได้เปลี่ยนแนวออกมาในแนวร็อคมากขึ้น แต่ก้ไม่ใช่ร็อคในแบบที่นักฟังเพลงร็อคทั้งหลายเข้าใจนะครับ คุณทราบไหมครับว่าจอห์นโดนแขวะจากผู้คนในวงการมากขนาดไหน จนทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า คำว่าร็อคที่ทุกๆคนเช้าใจนี่ มันหมายความถึงก้อนหินเวลาที่กระทบโสตพวกคนในวงการหรือครับ ใครจะคิดยังไงก็ไม่ทราบ แต่ผมคิดว่าการที่จอห์นเปลี่ยนแนวออกมาเช่นนี้ เป็นการดีต่อเด็กรุ่นใหม่ๆที่จะสามารถดูดและซึมซับถึงอารมณ์ของอารมณ์เพลงในแบบที่คนในวงการชั้นสูงเขาถือว่าเป็นดนตรีของพวกเขา เป็นดนตรีของคนมีคลาสเขาฟังกัน

เราต้องยอมรับกันอย่างว่า ถ้าเด็กสมัยนี้ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีฐานะดี บุคคลและสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยในการฟังเพลงคลาสสิคแล้ว จะมีน้อยคนมาก (ไม่ได้หมายความว่าไม่มี) ที่จะชอบดนตรีคลาสสิคจริงๆ อย่าไปยกตัวอย่างพวกคีตกวีในสมัยก่อนๆที่เขาเป็นเด็กยากจนว่าทำไมเขาถึงสนใจกัน คุณจะต้องไม่ลืมว่าสมัยก่อนนั้น ดนตรีในแบบสมัยปัจจุบันมีให้เขาฟังไหม ผมคิดว่าจอห์นนี่ล่ะครับ ที่จะช่วยยกระดับของคนที่สนใจดนตรีกันอย่างจริงๆจังๆ ให้รู้จักประคับประคองตนเองขึ้นมา ไม่ใช่คนที่เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน โดยไม่เคยฟังเพลงมาก่อน ไม่สนใจกันอย่างจริงๆจังๆ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางหรือฟังแต่ไม่รู้จักคิด ฟังเพียงแต่เป็นแฟชั่น หรือคนที่อ่านหนังสือแต่ไม่เคยศึกษา บางครั้งประโยคเดียวกันก็ยังตีความหมายได้แตกต่างกัน บางครั้งดนตรีชิ้นเดียวกัน กว่าคนฟังจะรู้ถึงคุณค่าของดนตรีชิ้นนั้น ผู้ประพันธ์ก็เสียแล้ว บางครั้งกว่าคนจะมองเห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนั้นคนเขียนก็เสียแล้ว อย่างเช่นเรื่อง โมบี้ ดิ๊ก ดังนั้นถ้าใครบางคนจะมองไม่เห็นถึงคุณค่าของดนตรีชิ้นใด หนังสือเล่มใด หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องดูว่าคนๆนั้นอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นใดด้วย ดังนั้นผมจึงอยากให้เวลาฟังเพลงถ้ารักจะฟังจริงๆแล้ว อย่าฟังเพื่อเป็นแฟชั่น ค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆซึมซับ วันนี้เราไม่เข้าใจ วันหน้าเราอาจจะเข้าใจ แต่ถ้าไม่ชอบก็อย่าไปฝีนใจ เพราะไม่มีดนตรีชิ้นใดเหมาะสำหรับทุกๆคน หรือเราจะดูกันง่ายๆก็ได้ว่า ไม่มีใครที่จะถูกใจทุกคนได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่าปิดความคิดของตนเองให้อยู่ในแวดวงของความคิดของตนเองเท่านั้น ต้องยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เช่นที่ได้ยกและบอกในตอนต้น ว่าถ้าจะวิจารณ์หรือจะแสดงความคิดเห็นต่อใครสักคน ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่ว่ามีอคติเป็นส่วนตัว เช่นที่ยกตัวอย่างว่าก่อนไปก็ว่าประเทศเขา แล้วทำไมถึงไปเรียนประเทศเขา พอมีโอกาสก็แขวะก็แว้งกัดกันเลย

ที่เขียนมาทั้งหมด (ถ้าเป็นแฟนกันจริงๆคงเข้าใจ) บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกับดนตรีในชุดนี้อย่างไร (เดาๆเอาครับ) คือผมหมายความว่า ดนตรีที่จอห์นสร้างขึ้นมานี้ แม้จะโดนต่อว่าจากคนในวงการว่าเป็นร็อคมากขึ้น แต่คนที่พูดในนั้นรู้จักคำว่าร็อคดีแค่ไหน ผลงานชุดนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวเป็นข้อเขียนว่าดีแค่ไหน เพราะไม่มีคำบรรยายใดที่จะสามารถกล่าวถึงความดีของดนตรีชุดนี้ได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับข้อแม้หลายอย่าง นั่นคือสภาพของการเข้าถึงอารมณ์เพลง และคนที่จะมีสภาพของอารมณ์เช่นนี้ได้ก็ต้องเป็นคนที่น่าจะมีใจรักดนตรีจริงๆ

ถ้าจะบอกว่าชุดนี้เหมาะสำหรับนักฟังเพลงประเภทไหน ก็บอกง่ายๆว่าถ้าคุณคิดว่า Sky เป็นวงที่ดีในสายตาของคุณ ชุดนี้จะทำให้คุณรู้จักดนตรีที่มีชั้นกว่า Sky อีกครับ (ลืมบอกไปว่าจอห์นเคยอยู่และเป็นผู้นำของวงนี้) สำหรับคนที่ไม่เคยฟัง Sky มาก่อน และอยากจะรู้ว่าเหมาะกับคุณไหม ก็ขอให้คุณดูว่าคุณเข้าใจคำว่า "The Guitar Is The Song" ไหมครับ เพราะนี่คือหัวใจของชุดนี้ทีเดียว

SP 185

No comments:

Post a Comment