Jean-Michel Jarre :: The Concerts In China (1982)

แนวดนตรี - Classical Rock (Jazz)
Producer : Jean-Michel Jarre

ตอนที่ได้รับการติดต่อให้เขียนถึงแผ่นนี้ ผมปฏิเสธไปว่าจะไม่เขียนถึง เพราะตอนนั้นผมกำลังเตรียมอะไรหลายต่อหลายอย่าง ตอนที่เขียนอยู่นี้ยิ่งมากขึ้น แต่ภายหลังผมรับปากที่จะเขียนถึง เพราะแผ่น (ถึงหน้าปกเป็นเทปแต่ผมมีแผ่น) ชุดนี้เป็นผลงานที่ดี ผมมีแผ่นนี้ราวๆ 6 เดือนแล้ว ฟังรอบแรกก็นึกในใจว่าจะต้องนำมาพูดถึงแน่ๆ แต่หลังจากที่ผมต้องตัดแผ่นของผมทิ้งไปก็นึกว่าจะไม่มีโอกาสนำมาพูดแล้ว เมื่อมีโอกาสก็จะพูดถึงให้ฟังอย่างละเอียด

ประเทศจีนเป็นประเทศที่นักดนตรีร็อคฝันใฝ่กระหายอยากไปเปิดการแสดงมากที่สุด วงที่แสดงความกระหายอย่างออกหน้าออกตาคือ Rolling Stones Mick Jagger คนที่คิดอยากเป็นนักการเมืองแล้วต้องได้แน่นอน (ความคิดของเขานะครับ) ถึงกับจะไปทำการติดต่อกับสถานทูต แต่เพราะเหตุผลใดไม่ทราบวงนี้จึงไม่ได้ไปแสดง และแล้วเหตุการณ์ที่ใครต่อใครไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ศิลปินคนแรกที่ได้ไปแสดง เป็นศิลปินที่คนรู้จักน้อยมาก เพราะบริษัทแผ่นเสียงโคลัมเบียไม่สนับสนุนเขาเท่าที่ควร เพราะดนตรีของเขาไม่ใช่แนวที่จะทะลุเปรี้ยงปร้างขึ้นมาได้ อีกข้อหนึ่งคือการแสดงสดของเขาอยู่ที่การใช้จินตนาการชักนำคนฟังเข้าสู่ความรู้สึกแห่งลีลาดนตรี ซึ่งไม่เหมือนดนตรีร็อคที่มีความสนุกสนานอยู่ในตัวเอง แต่ดนตรีของศิลปินคนนี้อยู่ในขั้นที่ว่าต้องให้คนฟังเข้าถึง ถ้าคนฟังเข้าไม่ถึง รับรองได้หลับก่อนการแสดงจบ ศิลปินคนนั้นก็คือ Jean-Michel Jarre ซึ่งปัจจุบันเขาอยู่กับ Polydor (ถ้าพูดกันตามจริง บริษัทนี้มีศิลปินฝีมือดีมาก แต่ส่วนมากไปดังด้านยุโรป คนไทยเลยรู้จักน้อย)

จำไม่ได้ว่าเขาไปแสดงที่ประเทศจีนกี่วัน แต่ประสบความล้มเหลวมาก ทุกรอบตอนเปิดการแสดง ตอนแรกคนเต็ม พอจบการแสดงนับหัวคนฟังได้เลย บางรอบต้องปิดการแสดงก่อนจบ เพราะคนลุกออกไปหมด มีอยู่สองสาเหตุที่รัฐบาลจีนเลือกเขาไปแสดงตามความคิดของแหล่งข่าวหลายแหล่งซึ่งผมเห็นด้วย คือ

1. เขาเป็นศิลปินที่เล่นดนตรีเป็นจินตนาการ ไม่ใช่อาศัยความเมามันแบบ Rolling Stones ความสุภาพในอารมณ์มันผิดกัน

2.ตอนนั้นชื่อเสียงของคนตะวันตกแพร่เข้ามาในเมืองจีนมาก แต่เป็นแค่ชื่อเสียงไม่ใช่การฟังกับหู รัฐบาลจีนต้องการที่จะตัดไฟแต่ต้นลม หาดนตรีที่มีคุณภาพแต่ชาวบ้าน (ชาวบ้านนะครับ) เข้าถึงได้ยาก ฟังยาก ปากต่อไปที่พูดต่อไปว่าดนตรีตะวันตกไม่ได้เรื่องเลยจะทำให้คนจีนเลิกสนใจ และก็ทำได้สำเร็จด้วย 

นี่คือหมากกลทางการเมือง ใครฉลาดกว่าใคร บอกจริงๆรัฐบาลจีนชนะ ดนตรีตะวันตกได้รับความนิยมน้อยมาก

ต่อมาเราจะพูดถึงดนตรีของเขาที่ประสบความสำเร็จครับ คิดว่าชุดนี้มีการมิกซ์เสียงกันใหม่ เพราะสมบูรณ์แบบจนเกินไป แต่ไม่ขัดเลยครับ เพราะการที่เรานั่งชม Live กับการที่ซื้อแผ่น Live เราต้องการความรู้สึกที่ต่างกัน Live ที่เราเข้าชม เราต้องการอารมณ์ แต่แผ่น Live เราต้องการความทรงจำครับ

แนวดนตรีในแผ่นนี้เป็นคลาสสิคัล ไม่ใช่โพรเกรสซีฟออกแจ๊ซหรือร็อค ซึ่งต้องแยกเป็นเพลงอีก จะอธิบายความแตกต่างระหว่างคลาสสิคัลกับโพรเกรสซีฟให้ฟัง คลาสสิคัลไม่จำเป็นต้องมีวงออร์เคสตร้ามาแบ็คอัพให้อย่างที่หลายคนคิดว่าเป็นเช่นนั้น ข้อสำคัญคือการสร้างอารมณ์ที่คล้อยตาม แนวดนตรีโพรเกรสซีฟจะนำท่านไปสู่จินตนาการแห่งความเข้าถึงโดยอาศัยความลึกล้ำเป็นแนวทาง แต่คลาสสิคัลอาศัยความละมุนละไม ความเกรี้ยวกราด ฯลฯ แห่งท่วงทำนองดนตรีเป็นตัวนำทางให้ คล้ายกับดนตรีคลาสสิคในแง่ที่ว่า ผู้แต่งมีจุดประสงค์ในการสื่อความหมายของดนตรีอยู่แล้ว เพียงแต่คนฟังจะเข้าใจความรู้สึกของดนตรีไปคนละทางก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ถ้าคนฟังสนใจและเข้าถึงแล้ว คนฟังจะเห็นในสิ่งที่เขาแสดงออกมาได้ไม่ยาก นี่เป็นการพูดถึงในแบบที่ว่าย่อที่สุดแล้ว แต่ถ้าคุณไม่เคยฟังคุณก็คงจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าคุณลองฟังและสังเกต โดยมีข้อเขียนเป็นเครื่องนำทาง คุณคงเข้าใจได้ไม่ยาก ต้องฟังและสนใจ ดนตรีง่ายนิดเดียว (แต่ยากเยอะครับ)

ชุดนี้ถามคน 100 คน ก็คงจะได้คำตอบประมาณ 90-100 คนว่าชอบเพลง Fishing Junks At Sunset ถึงจะชอบเพลงอื่นเท่ากัน แต่พอพูดถึงชุดนี้ก็คงจะคิดถึงเพลงนี้ก่อนเพื่อน เขาทำให้เห็นอย่างหนึ่งว่าความอ่อนละมุนละไมของดนตรีไม่มีขอบเขต การประสมประสานระหว่างดนตรีแห่งจินตนาการของเขากับวง Peking Conservatoire Symphony Orchestra จากการคอนดัคของ Huang Feili ซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมของจีนในการมองในสายตาคนตะวันตกแล้ว อยู่ในขั้นดีมาก จนถึงคำพูดที่ว่า ไม่มีคำพูดที่จะบอกนำมาบอกได้แล้ว

ก่อนที่จะพูดถึงเพลงอื่นนะครับ ผมขออุทิศหน้ากระดาษนิดหน่อยให้เครคิดต่อสมาชิกของเขาครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นผู้รู้หน้าที่ของตนเองว่าตัวเองมาในฐานะของนักดนตรีแบ็คอัพให้กับ Michel ไม่ใช่มาแสดง อันได้แก่ Frederick Rousseau, Dominique Perrier, Roger Rizzitelli และ Pierre Mourey คนทั้งสี่นี้เป็นนักดนตรีที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นมืออาขีพ เขาเป็นศิลปิน ศิลปินส่วนมากมักมีชื่อเสียงน้อยกว่านักล่าเงิน

Band In The Rain แสดงลักษณะการใช้ซาวนด์เอฟเฟ็คส์ในการประกบดนตรีมากทีเดียว เป็นเพลงสั้นๆที่จะโหมเพลง Equinoxe VII Equinoxe นี้เป็นแผ่นและเพลงที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุด จำไม่ได้ว่ามีกี่ภาค แต่ทุกภาคต่อเนื่องในอารมณ์กันตลอด แต่เป็นที่น่าแปลกที่เขาไม่เล่นต่อเนื่องทุกภาครวมกัน อาจจะเป็นเพราะว่าจะกินเวลานานมาก แต่เท่าที่ทราบมาเวลาเขาแสดงสดก็ไม่เล่นทุกภาคนะครับ ในแผ่นนี้เขาเล่นแค่ 2 ภาค คือ IV กับ VII

ส่วน Laser Harp นั้นเป็นของแถม เพราะเป็นการเล่นแสงเลเซอร์ประกอบเพลง มีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆแถมให้ ในปัจจุบันวงต่างๆนิยมเล่นแสงเลเซอร์ประกอบเพลง ซึ่งบางวงไม่สมควรใช้เลย เช่น Air Supply อยากจะฝากเตือนผู้จัดคอนเสิร์ตไทยถ้าวงไหนจะใช้ แต่เห็นว่าไม่เหมาะสม อย่าให้เขาใช้นะครับ เพราะมีอันตรายต่อหลายเรื่อง เช่นเกี่ยวกับตาที่ใช้มอง แต่บางวงเหมาะที่จะใช้เพราะแสดงให้เห็นถึงจินตนาการ ฯลฯ

The Overture เป็นเพลงเปิดการแสดงให้แก่ Michel (อ้อ ผมเขียนจากหน้า 2 แล้วค่อยมาเขียนหน้า 1 นะครับ) เพลงเปิดวงนี้ไม่จำเป็นที่นักดนตรีจะต้องเล่นเอง อาจจะใช้เทปเปิดก็ได้ เช่นเพลง Over The Rainbow ของ Rainbow, Firebird Suite ของ Yes แต่เพลงนี้ผมคิดว่า Michel คงจะเล่นสดประสมเทป (ที่จริงก็มีเทปแทบทุกเพลง) เช่นตอนที่ได้ยินเสียงคนคำรามอะไรนั่น ผมเชื่อมั่นว่าต้องใช้เทปเปิด เพลงนี้ยังไม่เคยฟังจากชุดไหนของเขาเลย คิดว่าเอาไว้โชว์เวลาการแสดงสดทุกครั้งมากกว่า

ถ้าจะพูดกันตามจริงชุดนี้เพลงไม่ค่อยต่อเนื่องนัก โดยเฉพาะในหน้าแรก เพราะมีการพูดแนะนำเพลงกัน แต่แปลกดี เป็นไอเดียที่ดีที่จับใส่ลงไปในแผ่นด้วย เพราะนี่เป็นการแสดงสดที่เมืองจีน เวลาแสดงสด Michel ไม่ค่อยพูดหรอกครับ ที่พูดถึงอารมณ์ต่อเนื่องเพราะเพลง Arpegiator เป็นเพลงที่ต่อจาก The Overture และควรจะต่อไปโดยไม่มีช่วงคั่น แต่ก็ยอมรับล่ะครับว่าเขาเอาตัวรอดได้สวยมาก

ในแผ่นนี้มีเพลงใหม่ๆของเขาเยอะจัง เช่น Fishing Junks, Arpegiator, Orient Express ซึ่งเป็นเพลงที่บรรยายถึงความรู้สึกถึงการได้เดินทางมายังเมืองจีน ฟังให้ดีจะเห็นว่ามีวัฒนธรรมของจีนสอดแทรกมากทีเดียว การใส่ซาวนด์เอ็ฟเฟ็คส์ลงไปในตันเพลงทำให้คนฟังยิ่งจินตนาการได้เด่นชัด ตามความรู้สึกของผมเขามีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่จะได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ เพราะท่วงทำนองของเขาคึกคักและเร้าอารมณ์มาก

เรามาพูดถึงการต่อเนื่องของอารมณ์อีกเพลงนะครับ ตานี้เป็นชุดเลยครับ คือเพลง Magnetic Fields ซึ่งเขาเล่นภาค I, III, IV ภาคหนึ่งนั้นสั้นนิดเดียว จะบอกว่าปูพื้นก็ได้ ทำไมตัดภาค 2 ไปก็ไม่ทราบ แต่ก็ไม่จำเป็นหรอก เพราะภาค 1 สั้นจนจับใจความไม่ได้แล้ว แต่อยากให้คุณเห็นถึงภาค III, IV ที่เขาทำได้ต่อเนื่องถึงอารมณ์ได้ดีมาก ต้องฟังเองถึงจะทราบ ดังนั้นถ้ามีใครสักคนบอกว่าดนตรีประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ต่อเนื่อง ฟังสนุกๆ ถ้าไม่เหมาะสำหรับฟังคนเดียวก็เหมาะสำหรับฟังทั้งกลุ่ม คุณคิดเอาเองก็แล้วกันว่าถูกหรือผิด แต่ภาค III,IV ถูกขัดจังหวะโดยเสียงโฆษก ซึ่งช่วงนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่

Night In Shanghai เป็นเพลงใหม่อีกเพลงหนึ่ง คุณจะมีความรู้สึกถึงเวลากลางคืนของเซี่ยงไฮ้จากบทเพลงของเขานี่แหละครับ ลึกลับ น่ากลัว มีอำนาจ ผมว่าเพลงนี้บีบหัวใจขึ้นทีละนิดๆ เป็นเพลงที่ผมชื่นชอบมากที่สุด จินตนาการของเขานั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก The Last Rumba อย่างกับไปอยู่ชายฝั่งทะเลใต้อย่างนั้นล่ะครับ

ใครว่าคนจีนไม่ทันสมัย ฟัง Magnetic Fields II สิครับ โฆษกพูดตามจังหวะได้เก่งจัง คงซ้อมกันมาก่อนนะนี่

Souvenir Of China ของฝากจากเมืองจีน อย่างไรชอบกลก็ไม่รู้ สมบูรณ์แบบในส่วนที่ควรจะสมบูรณ์ แผ่นดีๆผมก็เขียนชมเชยให้กันจริงๆ แต่ถ้าแผ่นไม่ดีก็ตีไม่เลี้ยงตามความไม่ดีของแผ่น ไม่ถนอมน้ำใจกันล่ะครับ เพราะแผ่นดีผมก็ชมมาก แต่แผ่นไม่ดีจะไม่ว่าเลยก็ยังไงๆอยู่นะ

ผมซื้อแผ่นนี้ราคา 500 บาท บางร้านขายตั้ง 600-700 บาท อยากจะบอกว่าจะเอากำไรกันไปถึงไหนนะพวกร้านขายแผ่นเสียง เพลาๆมือบ้างสิครับ ทีเวลารับจะรับลูกเดียว เวลาจ่ายไม่ยอมจ่ายเลย บางร้านนะครับไม่ใช่ทุกร้าน นี่เป็นเพราะสาเหตุตัวแทนจัดจำหน่ายที่หันไปเล่นเทปเพราะกำไรดี เลยลืมนึกถึงคนบางกลุ่มที่เขาฟังเพลงเพราะใจรัก ซึ่งคนกลุ่มนี้มีน้อยและยังแยกสาขาไปอีก เข้าคำพูดที่ว่ากำไรเป็นของนายทุน ถ้าอยากเสียเงินซื้อความสุขก็จะเสียเองนะคนฟัง

แผ่นนี้เขียนได้ละเอียด เพราะฟังมาตั้ง 4-5 เดือนแล้ว จะบอกให้ว่าแผ่นชุดไหนฟังบ่อยๆก็เขียนได้สะดวก เพราะสามารถเข้าถึงแผ่น เข้าถึงดนตรี

SP 175

No comments:

Post a Comment